วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

The Iron Lady

    สวัสดีครับวันนี้ผมอยากขอร่วมไว้อาลัยแด่การจากไปของ หญิงเหล็ก อตีดนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร นาง มาร์กาเรต แทตเชอร์




    มาร์กาเรต ฮิลดา แทตเชอร์ ( Margaret Thatcher) หรือ บารอนเนส แทตเชอร์ (ชื่อเดิม มาร์กาเรต ฮิลดา โรเบิตส์; 13 ตุลาคม พ.ศ. 2468 – 8 เมษายน พ.ศ. 2556) นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2533 และเป็นผู้นำพรรคอนุรักษนิยมตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ถึงปี พ.ศ. 2533 โดยเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวจนถึงปัจจุบัน ที่ดำรงทั้งสองตำแหน่งพร้อมกัน
นางแทตเชอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สมัยของลอร์ดซอลส์เบอรีและอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สมัยของลอร์ดลิเวอร์พูล นายกรัฐมนตรีในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นสตรีคนแรกที่นำพรรคการเมืองเสียงข้างมากของสหราชอาณาจักรและเป็นสตรีคน แรกของเพียงสามคนที่ได้ดำรงหนึ่งในสี่ตำแหน่งใหญ่ของประเทศ ปัจจุบันนางแทตเชอร์มีบรรดาศักดิ์ขุนนางตลอดชีพเป็นบารอนเนสแทตเชอร์แห่ง เมืองเคสตีเวน ในมณฑลลิงคอล์นไชร์ ซึ่งทำให้มีโอกาสได้นั่งในสภาขุนนาง


ชีวิตวัยเด็กและการศึกษา

นางแทตเชอร์เกิดที่เมืองแกรนแทมในมณฑลลิงคอล์นไชร์ บิดาคือ อัลเฟรด โรเบิตส์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำในเมืองและได้มีส่วนร่วมในการเมืองและศาสนาของ ท้องถิ่น โดยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดและเป็นฆราวาสนักเทศน์ในนิกายเมโทดิสต์ โรเบิรตส์มาจากครอบครัวพรรคเสรีนิยม แต่ไม่ได้สังกัดพรรคใด ด้วยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการเมืองท้องถิ่นในสมัยนั้น เขาเสียตำแหน่งผู้ว่าราชการไปในปี พ.ศ. 2495 หลังจากที่พรรคเสรีนิยมชนะเสียงข้างมากเป็นครั้งแรกในสภาเมืองแกรนแทมในปี พ.ศ. 2493 อัลเฟรดได้แต่งงานกับเบียทริซ สตีเฟนสัน และได้มีบุตรีสองคน (คือนางแทตเชอร์กับ มูเรียล ซึ่งเป็นพี่สาว ; เกิด: พ.ศ. 2464; ถึงแก่กรรม: พ.ศ. 2547) แทตเชอร์ได้รับการเลี้ยงดูแบบลัทธิเมโทดิสต์ที่เคร่งครัดศาสนาและยังคงเป็น คริสต์ศาสนิกชนมาตลอดชีวิต แทตเชอร์ได้รับการศึกษาอย่างดี โดยเข้าเรียนในโรงเรียนเด็กหญิงเคสตีเวนและแกรนแธม และต่อมาในปี พ.ศ. 2487 ก็ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยซอเมอร์วิลล์ เมืองออกซ์ฟอร์ด เพื่อเรียนวิชาเคมี โดยเลือกลงเรียนเอกวิชาผลิกศาสตร์ แทตเชอร์ได้รับตำแหน่งประธานสมาคมอนุรักษนิยมแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี พ.ศ. 2489 โดยเป็นสตรีคนที่สามที่อยู่ในตำแหน่งนี้ แทตเชอร์จบการศึกษาเกียรตินิยมและเข้าทำงานเป็นนักเคมีวิจัยให้แก่ British Xylonite และ บริษัท J. Lyons and Co. โดยได้ช่วยเหลือในการพัฒนาวิธีการในการเก็บรักษาไอศกรีม แทตเชอร์เป็นสมาชิกในทีมที่พัฒนาไอศกรีมแบบอ่อนนุ่มเป็นรายแรก แทตเชอร์ยังเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ทำงานด้านวิทยาศาสตร์อีกด้วย

ชีวิตทางการเมือง

ในปี ค.ศ. 1964 พรรคอนุรักษ์นิยม (The Conservative Party) ได้สูญเสียอำนาจฝ่ายรัฐบาล แทตเชอร์จึงได้ทำหน้าที่ในรัฐบาลเงา (Shadow Cabinet) ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการเมืองในสหรัฐอเมริกา ด้วย และในที่สุดก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาลเงา

พรรค อนุรักษ์นิยม ได้กลับมามีอำนาจในรัฐบาลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1970 แทตเชอร์ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ และได้ตัดงบประมาณหลายอย่างที่คนส่วนมากไม่เห็นด้วย หลังจากได้ตัดงบประมาณของโครงการนมโรงเรียนออกไป เธอก็ได้ฉายาใหม่ว่า “Thatcher, Milk Snatcher” (แทตเชอร์ หัวขโมยนม) และขจัดความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผู้หญิงในแวดวงการเมืองออกไป

“คุณอยากให้มีนายกรัฐมนตรีหญิงไหมครับ”
“ฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่า ฉันคิดว่าในชั่วชีวิตของฉันคงจะยังไม่มีนายกรัฐมนตรีหญิงหรอกจ๊ะ”

ในปี ค.ศ. 1974 พรรคอนุรักษ์นิยมถูกโหวตออกอีกครั้ง โดยแพ้ให้กับพรรคแรงงาน (Labour Party) แทตเชอร์จึงมีบทบาทสำคัญในพรรคอนุรักษ์นิยมมากขึ้น และในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1975 แทตเชอร์ก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม และเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร

“ผู้ ที่ทำหน้าที่นี้ก่อนหน้าฉันมีทั้ง เอ็ดเวิร์ด ฮีธ, อเล็ก ดักลาส ฮูม, ฮาวเวิร์ด แม็คมิลเลน, และแน่นอนว่ารวมถึง วินส์ตันผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ที่จริงมันเหมือนความฝันจริงๆค่ะ คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม ฉันแทบจะร้องไห้เลยตอนที่พวกเขาบอกฉัน”
จากนั้น แทตเชอร์ก็ปรับปรุงภาพลักษณ์และการพูดจาให้ดีขึ้นเพื่อให้ดูน่าเคารพ ในปี ค.ศ. 1976 เธอได้รับสมญานามจากสื่อหนังสือพิมพ์ของประเทศรัสเซียว่าเป็น “หญิงเหล็ก” (The Iron Lady) จากการแสดงออกที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน บรรยากาศทางการเมืองที่ยุ่งเหยิงของประเทศอังกฤษ ซึ่งรวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน การว่างงานสูง และสภาพการเงินที่ฝืดเคือง ก็ช่วยให้พรรคอนุรักษ์นิยมเข้าสู่อำนาจอีกครั้งในปี ค.ศ. 1979

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 4 พฤษภาคม ปีเดียวกันนั้น มาการ์เรต แทตเชอร์ ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ
หลัง เข้ารับตำแหน่ง แทตเชอร์ก็ได้ชี้ขาดในปัญหายากๆหลายเรื่องทันที เพื่อพยายามควบคุมปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่ดำเนินอยู่ แทตเชอร์เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ตัดรายจ่ายทางสังคมต่างๆ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างเชื้อเพลิง น้ำ และไฟฟ้าให้เป็นเอกชน

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวในสมัยที่สองที่เธอเป็นนายกฯ ในปี ค.ศ. 1987 จุดยืนของแทตเชอร์ในเรื่องต่างๆ อย่างเรื่องกฎหมายการตรวจคนเข้าเมืองและสหภาพแรงงาน ทำให้เธอเป็นผู้นำที่มีคนชื่นชอบมากพอๆกับคนที่ไม่พอใจ นี่ทำให้ดัชนีความพึงพอใจในสมัยของแทตเชอร์ผันผวนอยู่ตลอดเวลา แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีในยุคสมัยเดียวกับผู้นำอย่าง โรนัลด์ แรแกน ซึ่งทั้งคู่มีทัศนคติไปทางขวาจัดเหมือนกัน

แทตเชอร์ต้องเผชิญกับ ปัญหาใหญ่ระดับนานาชาติเมื่อปี ค.ศ. 1982 เมื่ออาร์เจนตินารุกรานเกาะฟอล์คแลนด์ (Falkland Island) ถึงแม้ว่าเกาะนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษ แต่อยู่ใกล้ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศค่อนข้างตึงเครียด สุดท้ายสหราชอาณาจักรชนะสงครามครั้งนั้นในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน เมื่อแทตเชอร์ตัดสินใจส่งกองทัพไปที่เกาะ

ช่วงแรกของสมัยที่สองของแทตเชอร์ ในปี ค.ศ. 1983 เป็นปีที่เกิดการสไตร์คที่รุนแรงและยาวนานของอุตสาหกรรมเหมือง ใน ปีต่อมาแทตเชอร์เอาชีวิตรอดจากการลอบสังหารของหน่วย IRA และการที่เธอยังคงไม่ได้หลบหลีกจากสายตาฝูงชนหลังเหตุการณ์นั้นยิ่งทำให้ คะแนนความนิยมของเธอสูงขึ้นไปอีก

ในสมัยที่สองของแทตเชอร์ เธอต้องรับมือกับนโยบายต่างประเทศหลายอย่าง ซึ่งรวมไปถึงสงครามเย็นและการทิ้งระเบิดโจมตีประเทศลิเบียของสหรัฐฯ

การ ดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม ซึ่งไม่เคยมีปรากฏมาก่อนของแทตเชอร์เริ่มขึ้นเมื่อมี ค.ศ. 1987 นโยบายภาษีที่ไม่ได้รับความนิยมที่แทตเชอร์เสนอ ทำให้เธอสูญเสียแรงสนับสนุนจากทั้งในพรรคเองและจากประชาชนส่วนใหญ่

ใน ปี ค.ศ. 1989 มีคนเข้าชิงตำแหน่งผู้นำพรรคกับแทตเชอร์ และในที่สุดเธอก็ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990
โดยมีนาย จอห์น เมเจอร์ มารับช่างตำแหน่งนายกฯแทน หลังจากนั้นแทตเชอร์ก็กลับมาทำหน้าที่เป็นผู้แทนในสภาดังเดิม ก่อนจะเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1992 และในปีเดียวกันนั้นเองที่เธอได้เข้ารับตำแหน่งในสภาขุนนาง (The House of Lords)

หลังจากวางมือทางการเมือง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้เขียนหนังสือหลายเล่มและเดินทางไปเป็นวิทยากรในที่ต่างๆ และเธอได้หยุดงานวิทยากรเมื่อปี ค.ศ. 2002 หลังจากมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกเล็กๆ หลายครั้งติดต่อกัน นอกจากนี้ สามีที่เป็นคู่ชีวิตกันมากว่า 50 ปีของเธอก็ได้เสียชีวิตลงในปีต่อมา

ในปี ค.ศ. 2011 เรื่องราวชีวิตของแทตเชอร์ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมี เมอริล สตรีป (Meryl Streep) มารับบทเป็นนายกหญิงเหล็ก

แทตเชอร์ เป็นบุคคลสาธารณะที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด การบริหารทางด้านเศรษฐกิจของเธอได้รับการชมเชย ในขณะที่นโยบายด้านสังคมนั้นยังมีคนให้ความเห็นที่แตกแยกอยู่ อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า มาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้เปลี่ยนแวดวงการเมืองของสหราชอาณาจักรไปตลอดกาล

“ชาวรัสเซียเรียกดิฉันว่า หญิงเหล็ก (The Iron Lady) พวกเขาพูดถูก ประเทศอังกฤษจำเป็นต้องมีหญิงเหล็ก”

ขอบคุณ  วิกืพีเดีย 
              ทีมงานทรูปลูกปัญญา
             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น