ผู้ชายโดยปกติทั่วไปจะต้องการน้ำอยู่ประมาณเฉลี่ย 3 - 3.5 ลิตร ต่อวัน ผู้หญิงจะต้องการน้ำโดยประมาณเฉลี่ย 2.5 - 3 ลิตรต่อวัน เด็กเฉลี่ยประมาณ 2 - 2.5 ลิตรต่อวัน
อาจจะมีความรู้สึกยุ่งยากว่าการดื่มน้ำนั้นอาจจะไม่เพียงพอ อาจทำให้สมบูรณ์ได้โดยการแบ่งช่วงของการดื่มน้ำดังนี้
ก่อนนอน 2 แก้ว โดยทั้ง 2 แก้วจะมีปริมาณขั้นต่ำ 250 มล.
ตื่นนอน 2 - 3 แก้ว ให้ได้อย่างต่ำ 500 - 750 มล.
ในช่วงเวลา 2 - 3 ชม. ให้จิบน้ำไปเรื่อย ๆ ให้ได้ประมาณ เท่ากับ 6 แก้ว โดยแต่ละแก้ว
เฉลี่ยแก้วละ 250 มล. (ดื่มครึ่งเช้า 3 แก้ว ช่วงบ่ายหลังทานอาหาร 1 ชม. อีก 3 แก้ว)
การดื่มน้ำไม่ควรจะดื่มแบบรวดเดียวหมดทั้งแก้ว ควรใช้วิธี จิบแล้วอมไว้สักครู่เพื่อให้น้ำและเอนไซม์ของน้ำลายผสมกัน ในช่วงของการทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำระหว่างทานอาหารเนื่องจาก
การผลิตน้ำย่อยจะไปปนกับน้ำ ทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารเป็นไปได้ไม่ดี เราจึงควรดื่มน้ำก่อนการทานอาหารอย่างน้อยสักชั่วโมงครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หรือ ดื่มน้ำหลังจากการทานอาหาร ในช่วง สิบนาทีหลังการทานอาหารหรือจะให้ดีที่สุดคือ สาม ชั่วโมงหลังการรับประทานอาหาร
เมื่อเราเป็นไข้ เราจะต้องดื่มน้ำ มาก ๆ เพื่อลดอุหณภูมิของร่างกาย จำเป็นที่จะต้องจิบน้ำให้ได้ 1 แก้ว ต่อ 1 ชม. เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป และน้ำจะทำให้ร่างกายเย็นลง และที่สำคัญน้ำ
จะทำให้เสมหะลดความหนืดความเหนียวลง
การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้กากใยอาหารเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำควรดื่มน้ำให้ได้ขั้นต่ำวันละ 10 - 12 แก้ว
หากคุณเป็นโรคเกาต์ คุณควรที่จะดื่มน้ำมาก ๆ กว่าปกติ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารที่มีพิวรีนสูง จำพวก ปลาซาร์ดีน สัตว์ทะเลต่าง ๆ
หากคุณเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยในการย่อยและนำพากากใยอาหาร
เมื่อคุณติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่ว่าจะเพศใด คุณควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยในการนำสารพิษ สารเคมี เชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ โดยขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะ และหายได้เร็ว
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อต่อ หรือปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ
กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด เคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือรุนแรงจนทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อเกิดการเสื่อม ผู้ที่เป็นโรคประเภทเหล่านี้ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือดและระดับของกรดยูริกที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับ ออกไปตามปัสสาวะ
วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง
ระบบการ
จัดสรรปันส่วนน้ำอย่างเหมาะสมของร่างกาย น้ำต่อความสำคัญในร่างกายจึงแบ่งออก
เป็นเช่นดังต่อไปนี้
ระบบการทำงานของ สมอง 75%
ระบบการทำงานของ หัวใจ 75%
ระบบการทำงานของ ปอด 86%
ระบบการทำงานของ ตับ 86%
ระบบการทำงานของ ไต 83%
ระบบการทำงานของ กระเพาะ 73%
ระบบการทำงานของ ลำไส้ 73%ะ
ระบบการทำงานของ กล้ามเนื้อ 75%
ระบบการทำงานของ เลือด 83%
ระบบการทำงานของ กระดูก 22%
ลักษณะของน้ำดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง
น้ำอ่อน
คือน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุและมีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิต สูง
น้ำกลั่น
ซึ่ง ไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลยเป็นผลให้ร่างกายต้องดึงแร่ธาตุที่จำ เป็น
เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และเกลือแร่อื่น ๆ ออกมาใช้ จึงอาจทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุเหล่านี้
ก่อให้เกิด โรคหัวใจ และหลอดเลือดจนเป็นอันตรายถึงชีวิต
น้ำดื่มบรรจุขวด
ที่มีสารปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐานแม้จะดูใส และปลอดภัยกว่าน้ำประปา แต่ 25
% ของน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นเพียงการนำน้ำประปามาใส่ขวด และปรับปรุงคุณภาพเล็กน้อยเท่านั้น
น้ำประปา
มีคลอรีนซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียแต่จะก่อให้เกิดสารพิษชื่อไตฮาโลมีเทน
(Trihalomethanes-THM) เกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในธรรมชาติซึ่งละลายอยู่ในน้ำ
ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โลหิตจาง มะเร็งลำไส้ใหญ่ สมองเสื่อม
เป็นต้น
น้ำอัดลม
ทำมาจากน้ำกลั่นหรือน้ำอ่อนที่ไม่มีแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายต้องสูญเสียแร่ธาตุและดึงแร่ธาตุที่
จำเป็นออกมาใช้ อาทิแคลเซียมและแร่ธาตุเหล่านี้จะสูญเสียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ
และอื่น ๆ ซึ่งการสูญเสีแร่ธาตุจากร่างเหล่านี้ จะส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ต่อมา
เช่น กระดูกพรุน ข้ออักเสบ ความ เสื่อมต่าง ๆ แก่ก่อนวัย เป็นต้น น้ำหวาน /
น้ำผลไม้สำเร็จรูป เป็นเพียงน้ำตาลกับสีผสมน้ำ โดยแต่งกลิ่นธรรมชาติเข้าไปและอาจเติมวิตามินหรือแร่ธาตุปะปนอยู่บ้าง
แต่จะก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดีกับร่างกายในระยะยาว
ขอบคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น