วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจและหลอดเลือด

เป็นสาเหตของการเสียชีวิตของประเทศที่ เจริญแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา
โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการและอาการแสดงของ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีได้หลายลักษณะได้แก่


 
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใขาดเลือดโดยที่ไม่มี อาการเรียก Silent ischemia
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกเมื่อออกกำลังกาย เรียก Stable angina
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบ Unstable angina
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด Myocardial infarction
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มาด้วยเรื่องหัวใจวาย Congestive heart failure
  • กลุ่มผู้ป่วยที่เสียชีวิตเฉียบพลัน Sudden cardiac death
Acute Coronary Syndrome เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เฉียบพลัน แต่เดิมนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3กลุ่มใหญ่คือ
  • unstable angina (UA)
  • non-ST elevation myocardial infarction (NSTEMI)
  • acute ST-elevation myocardial infarction (STEMI)
สาเหตุของ ACS
กลไกที่ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเชื่อว่าเป็น จากการที่หัวใจได้รับออกซิเจน
ไปเลี้ยงไม่พอ ซึ่งมีสาเหตุหลัก 4 ประการ 1 คือ
  1. ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดหัวใจ(Occlusive or non-occlusive thrombus on pre-existing plaque)
    : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของ ACS โดยผู้ป่วยส่วนมากจะมีคราบ (atherosclerosis plaque )
    อยู่เดิมแล้ว ต่อมาเกิดลิ่มเลือด( thrombus formation ) อุดตัน พยาธิกำเนิดของการเกิด
    thrombus อุดตันอย่าง ฉับพลันนี้จะกล่าวโดยละเอียดต่อไป
  2. Dynamic obstruction (coronary spasm) : เป็นกลไกอธิบายภาวะ โรคPrinzmetal’s angina ซึ่งผู้ป่วยมีหดเกร็งของหลอดเลือดหัวใจ( vasospasm) จากการบีบตัวมากไป( hypercontractility )
    ของกล้ามเนื้อหลอดเลือด (vascular smooth muscle) หรือ endothelial dysfunction ทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกขึ้นขณะพักโดยที่ไม่ได้เกิดจากหลอดเลือดตีบ
  3. Progressive mechanical obstruction : เกิดจาก atherosclerosis ตีบขึ้นเรื่อยๆ
    จนทำให้เกิดเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ progressive/worsening angina ถึงแม้ไม่มี
    plaque rupture หรือ vasospasm ก็ตาม กลุ่มนี้ทำให้เกิดโรค Angina pectoris
  4. Secondary causes : ในกรณีนี้ ผู้ป่วยมหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่ก่อน
    (stable coronary artery disease) อยู่แล้ว แต่มีปัจจัยมากระตุ้นบางอย่าง
    ที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจต้องการเลือด ไปเลี้ยงมากขึ้น เช่น ไข้ หัวใจเต้นเร็ว
    โรคติดเชื้อ โรคคอพอกเป็นพิษ หรือ การที่มี myocardial oxygen delivery

    ลดลง เช่น ความดันต่ำ ภาวะเลือดจาง
ลักษณะอาการทางคลินิก
  1. อาการเจ็บหน้าอก
ลักษณอาการที่สำคัญของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้าม เนื้อหัวใจขาดเลือดชนิด
Unstable angina/NonQ Myocardial infarction
  1. Rest pain หรือเจ็บหน้าอกขณะพัก ผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบมักจะมีอาการเจ็บหน้าอด
    เวลาทำงานหรือออกกำลัง กาย หากเจ็บหน้าอกขณะพักและเจ็บนานเกิน 20นาทีก็ให้รีบสงสัยว่าจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดต้องรีบไปโรงพยาบาล
  2. New onset angina ผู้ที่ไม่เคยเจ็บหน้าอกมาก่อน หากมีอาการเจ็บหน้าอกครั้งแรก
    อาการเจ็บหน้าอก แบบ angina ครั้งแรกที่เกิดขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือน
    โดยมีระดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอกอย่าง น้อยเทียบเท่ากับ Canadian
    Cardiovascular Society (CCS) class III ก็ให้สงสัยว่าจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  3. Increasing angina อาการเจ็บหน้าอก แบบ angina ภายในเวลา 2 เดือน ที่มีอาการกำเริบ
    มากขึ้นทั้งในแง่ความรุนแรง ความถี่และระยะเวลาของ การแน่น หรืออาการเจ็บหน้าอก
    ถูกกระตุ้นให้เกิดได้ง่ายกว่าเดิม โดยที่ระดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอก อย่างน้อย
    CCS class III
ระดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอกแบ่งตาม CCS (canadian cardiology society)
ตารางแสดงระดับความรุนแรงของอาการเจ็บหน้าอก Angina pectoris ตาม Canadian
Cardiovascular Society (CCS)
Class อาการเจ็บหน้าอก
1 กิจวัตรประจำวันไม่ทำให้เจ็บหน้าอก เช่นการเดินหรือขึ้นบันได แต่การทำงานหนักหรือเร็วและแรงจะทำให้เกิดเจ็บหน้าอก
2 หากทำกิจวัตรประจำวันอย่งเร็วจะเจ็บหน้าอก เช่นการเดินหรือขึ้นบันไดอย่างเร็ว การเดินขึ้นเขา การเดินอย่างเร็วหรือขึ้นบันไดหลังอาหาร อากาศหนาวหรือเย็น ความเครียด
3 เดินธรรมดาก็เจ็บหน้าอก
4 ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากเจ็บหน้าอก หรืออาจจะเจ็บหน้าอกขณะพัก
จะเห็นว่าหากคุณมีอาการเจ็บหน้าอกที่รุนแรงระดับ4แสดงว่า หลอดเลือดคุณตีบหรือตันมากขึ้นกว่าระดับ 1
  1. อาการเจ็บหน้าอกนี้เหมือนกับอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดหรือไม่
เมื่อซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วยแล้วก็นำมา ประมวลผลว่า อาการเจ็บหน้าอกของผู้ป่วยรายนี้เหมือนกับอาการของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ
หรือไม่โดยประเมินจาก
  • โอกาสที่จะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสูงHigh likelihood (85-99%)
    โดยจะมีข้อใดข้อหนึ่ง: 
    • ประวัติเคยเจ็บป่วยจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    • อาการเหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชายอายุ
      มากกว่า 60 ปี และมากกว่า 70 ปีในหญิง
    • ระหว่างที่เจ็บหน้าอกมีการเปลี่ยนแปลงของสัญาณชีพ
      หรือมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
    • Variant angina (pain with reversible ST-segment elevation)
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจยกขึ้นหรือลดต่ำลง(ST-segment elevation or depression)
      1 mm or
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติแบบ Marked symmetrical T wave inversion
      in multiple precordial leads
  • มีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดปานกลาง(Intermediate likelihood)
    (15-84%)ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้: 
    • อาการเหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชายอายุ น้อยกว่า 60 ปี
      และน้อยว่า 70 ปีในหญิง
    • อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชาย อายุมากกว่า 60 ปี
      และมากกว่า 70 ปีในหญิง
    • อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยที่ เป็นโรคเบาหวาน
      diabetes mellitus
    • อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและมีปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิด
      โรคหัวใจขาดเลือด 2 หรือ 3 ข้อ (ปัจจัยเสี่งต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
      ได้แก่ เบาหวาน สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงl)
    • มีโรคหลอดเลือดอื่น เช่น อัมพฤต หรือเส้นเลือดขาตีบ
    • คลื่นไฟฟ้าผิดปกติ ST depression 0.05 to 1 mm
    • คลื่นไฟฟ้าผิดปกต T wave inversion 1 mm or greater in
      leads with dominant R waves
  • มีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดต่ำ(Low likelihood)
    (1-14%)จะมีลักษณะดังต่อไปนี้: 
    • อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    • มีปัจจัยเสี่ยงข้อเดียว
    • คลื่นไฟฟ้าผิดปกติ T-wave flattening or inversion less
      than 1 mm in leads with dominant R waves
    • คลื่นไฟฟ้าปกติ Normal ECG findings
  1. ผู้ป่วยรายนี้มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
หลังจากที่เราประเมินอาการเจ็บหน้าอก ละโอกาสการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแล้ว
ก็มาประเมินว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นรุ่นแรงหรือไม่ หรือความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมีมากหรือไม่
เพื่อที่จะได้ให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
ได้มีการศึกษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกและเป็นชนิด unstable angina
ทั้งหมดประมาณ 3000 ครั้ง โรงพยาบาลที่เข้าร่วมในการศึกษา 35
โรงพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
  • อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยประมาณ 62 ปี
  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุ65 ปีโดยคิดเป็นร้อยละ 44
  • ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยมีดังนี้
    • ความดันโลหิตสูงพบได้ 60%
    • โรค เบาหวานพบได้ 26%
    • ผู้ ป่วยที่ยังคงสูบบุหรี่พบได้ 25%
    • ผู้ ป่วยไขมันในเลือดสูงพบได้ 43%
    • ประวัติครอบครัวเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดพบได้ 42%
    • เคยเป็นอัมพาต 9%
    • เคยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายจากหลอดเลือดแดงตีบ 36%
    • เคยเจ็บหน้าอกแบบ angina - 66%
    • หัวใจ วาย14%
    • เคยทำบอลลูนหัวใจ 23%
    • เคยผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ 25%
การวินิจฉัยโรค
เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขององค์การ อนามัยโรคกำหนด
ไว้ว่าอย่างน้อยต้องมีสองในสามข้อ ซึ่งประกอบด้วย
  1. อาการเจ็บหน้าอกซึ่งเข้าได้กับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งเจ็บนาน20 นาที
  2. มี การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  3. เจาะเลือดพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเอ็นไซม์ที่หลั่งจาก หัวใจ ( cardiac enzyme)
Classification ของ UA
เนื่องจากผู้ป่วย ACS มี spectrum ความรุนแรง ของโรคที่แตกต่างกันมาก จึงมีความพยายาม
ที่จะ แบ่งกลุ่มผู้ป่วย เพื่อช่วยพยากรณ์โรคและบอก prognosis Classification ที่ใช้กันบ่อย
คือ Braunwald Classification ซึ่งแบ่งกลุ่มผู้ป่วย โดยคำนึง ถึง 3 ปัจจัย คือ
  1. ความรุนแรงของอาการเจ็บหน้าอก
  2. ลักษณะทางคลินิก และ
  3. ยาที่ผู้ป่วยได้รับช่วง เกิดอาการ
ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อท่านได้ไปถึงโรงพยาบาล
  1. แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะซักประวัติการเจ็บป่วยของท่าน ประวัติการรักษา อาการสำคัญ
    ที่ท่านเป็นอยู่
  2. ตรวจร่างกายโดยเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ซึ่งจะต้องตรวจวัดความดันโลหิต ชีพขจร
    การหายใจ และอุณหภูมิ
  3. หากประวัติและการตรวจร่างกายเข้าได้กับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    แพทย์จะตรวจคลื่น ไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที
  4. เจาะเลือดตรวจหา cardiac enzyme ว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือไม่
  5. ประเมินว่าอาการป่วยของท่าน เกิดจากโรคอื่น เกิดจากหัวใจขาดเลือด
    ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่ม อาการ angina กลุ่มอาการ unstable stable angina ,
    กลุ่ม Non Q Myocardial infarction,กลุ่มอาการ ST Elevate Myocardial infarction
  6. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกเหมือนกล้าม เนื้อหัวใจขาดเลือด แต่ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและผลเลือดไม่เหมือนโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    ก็ให้อยู่สัเกตอาการ และตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจ เลือดซ้ำ
  7. สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจซ้ำทั้งคลื่นไฟฟ้าและผลเลือดปกติ แนะนำให้มาตรวจหัวใจ
    โดยอาจจะใช้การ วิ่งสายพานหรือใช้ยากระตุ้นให้หัวใจทำงานเพื่อจะตรวจว่า
    มีหลอดเลือด หัวใจตีบหรือไม่
  8. สำหรับผู้ป่วยที่ผลการตรวจร่างกาย ผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และผลเลือดเข้าได้
    กลับกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะต้องได้รับการประเมิน ว่า 1กลุ่มที่สาเหตุ
    น่าจะเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด 2 ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจาก
    โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด
  9. แพทย์จะให้การรักษาตามความหนักหรือความรุนแรงของโรค
การรักษา
จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ
  • ทำให้อาการ เจ็บ แน่นหน้าอกดีขึ้น ป้องกันการเกิด AMI หรือ reinfarction
  • ป้องกันการเกิด sudden cardiac death
การที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
การ รักษาเพื่อลดการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ
  • การ ให้ยาต้านเกร็ดเลือด
  • ยา ต้านการแข็งตัวของเลือด
  • การ ประเมินความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
  • การ เลือกการรักษา
ขั้นตอนการรักษามีดังนี้
  1. ให้ผู้ป่วยนอนพัก ติดเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจ
  2. ให้ออกซิเจน และติดตามระดับออซิเจนให้มากกว่า 90 %
  3. ผู้ป่วยที่มีอาการแน่หน้าอกความจะได้อมยาNTG ทุก 5 นาที 3 ครั้ง
  4. หากอมยาแล้วไม่หายปวดก็จะพิจารณาให้ยา NTG ทางหลอดเลือดดำเป็น
    เวลา 48 ชมเพื่อรักษาภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง
  5. ให้ Beta-blocker ภายใน 24 ชมหากไม่มีข้อห้ามดังต่อไปนี้
  • หัวใจวาย
  • หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายน้อย low output state
  • มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะช็อคเนื่องจากหัวใจ
  • ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นช้า โรคหอบหืด
  1. หากไม่สามารถให้ยากลุ่ม Beta-blocker ก็อาจจะพิจารณาให้ยา verapamil
    หรือ diltiazem แทน
  2. ให้ยากลุ่ม ACE Inhibitor ภายใน 24 ชมในรายที่มีหลักฐานว่าหัวใจทำงานน้อย
    แต่ยังไม่มีภาวะความันโลหิตต่ำ
  3. หากผู้ป่วยทนต่อยาในกลุ่ม ACE Inhibitor ไม่ได้ก็ให้ยากลุ่ม angiotensin blocker
    แทน
  4. การดูแลรักษาทั่วไป: เช่นการพัก, ให้ออกซิเจน, การให้ยานอนหลับ และ ยาแก้ปวด
    เช่น morphine รวมถึงการแก้ไขปัจจัยส่งเสริม เช่น เช่น ภาวะโลหิตจาง, ติดเชื้อ,
    หัวใจเต้นผิดปกติ, คอพอกเป็นพิษ เป็ นต้น
  5. ยาที่ใช้รักษาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ
  • 2.1 Anti-ischemic drugs : Nitrates, Betablockers, Calcium- blockers
  • 2.2 Antiplatelets
  • 2.3 Anticoagulants
  • 2.4Glycoprotein (GP) IIb/IIIa inhibitors
การดูแลตัวเองหลังออกจากโรงพยาบาล
สำหรับท่านผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลและอาการดีขึ้น แพทย์จะให้ท่านกลับบ้าน
แต่ท่านจะต้องมีภาระหน้าที่ร่วมกับแพทย์สองประการได้แก่
  • การเตรียมตัวเพื่อที่จะไปดำรงชีวิตเหมือนปกติ
  • จะต้องทบทวนการดูแลตัวเองที่ผ่านมาว่าได้ละเลยหรือไม่ให้
    ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง เมื่อทราบแล้วท่านต้องปรับ
    พฤติกรรมตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอด เลือดตีบขึ้นมาอีก
การใช้ยาในการป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ยาที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบซ้ำก็จะเหมือน
กับการรักษาโรคหลอดเลือดตีบ กล่าวคือจะต้องมียาที่ผู้ป่วย
มีปัจจัยเสี่ยงอยู่ได้แก่
  • ยาลดความดันโลหิตสูง
  • ยาลดไขมัน
  • ยา ต้านเกร็ดเลือด
  • ยารักษาโรคเบาหวาน
การรักษาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • ภาวะไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะไขมัน Cholesterol LDL
    สูงจากการศึกษาพบว่าการให้ยา Statin เพื่อลดไขมันจะ
    ลดการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
  • การรักษาโรคความดันโลหิตสูงไว้ไม่ให้เกิน 130/80 mmHg
  • สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่แนะนำให้เลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด
  • การควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนักลงให้ใกล้เคียงน้ำหนัก
    ที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS and COX-2–selective inhibitors
    เพราะจะทำให้เกิดโรคหัวใจ
  • สำหรับยาที่นิยมให้เช่น Folic acid/B-vitamin vitamins C, E, beta carotene
    ที่เคยเชื่อว่าป้องกันโรคหัวใจได้ แต่จากการศึกษาพบว่าไม่ได้ลดโอกาสเกิด
    โรคหัวใจจึงไม่แนะนำ
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น น้ำหนักลดลง
และลดปัจจัยเสี่งอื่นๆอีก การออกกำลังควรจะเริ่มหลังจากอาการดีขึ้นแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ ดดยจะออกกำลังให้หัวใจเต้นประมาณ 60-70% สำหรับ
การออกกำลังกายแบบ aerobic และยกน้ำหนักควรจะทำหลังจาก
อาการดีขึ้นแล้ว4 สัปดาห

อาหารกับโรคหัวใจ
หลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหาร ที่มันนอกจากจะทำให้อ้วนซึ่งเป็นผลเสียต่อโรคหัวใจวาย
อาหารมันยังจะทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้นและจะทำให ้หลอดเลือด ไปเลี้ยง หัวใจตีบ
อาการของโรคจะเลวลง แนะนำให้รับประทานไขมัน Cholesterol ให้น้อยกว่า 300 มิลิกรับต่อวัน
วิธีการที่จะลดอาหารมัน
- ให้รับประทานนมที่พร่องมันเนยหรือ yogurt แทนนมสดหรือ ice cream
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากเนย เช่น เค้ก ขนมพาย
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากไข่แดง และไขมันอิ่มตัว เช่นทองหยิบฝอยทอง
- หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์เช่น ตับ ไต สมอง
- งดน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม
- หลีกเลี่ยง sausage, hot dogs
- เนื้อห่านและเนื้อเป็ดจะมีไขมันต่ำ
- ไม่ควรรับประทานหนังไก่
- หลีกเลี่ยงของทอดเช่น ปาท่องโก๋ ไก่ทอด มันทอด
- เครื่องดื่ม
โรคหัวใจวาย จะมีการคั่งของน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมากเกินไป การได้รับน้ำมากไป
จะทำให้อาการของโรคหัวใจแย่ลง หากมีอาการบวมแพทย์จะให้ยาขับปัสสาวะแก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยโรคหัวใจมักจะมีอาการหิวน้ำอาจจะแก้ไขโดยอมลูกอมที่ไม่มีน้ำตาลเพราะ หากดื่ม
น้ำมากอาการอาจจะแย่ลง โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำมิให้ได้รับน้ำเกิน 8 แก้ว (1 แก้ว= 240 cc)
รวมทั้งน้ำจากอาหาร น้ำดื่ม น้ำผลไม้
- สำหรับผู้ป่วยที่ดื่มสุราก็แนะนำให้ลดปริมาณลงไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละเบียร์หนึ่งแก้ว
- น้ำอัดลม กาแฟ ชา อาจจะทำให้หัวใจทำงานมากขึ้นดังนั้นผู้ป่วยโรคหัวใจควรจะหลีกเลี่ยง น้ำผลไม้ซึ่งมีเกลือมากเช่นน้ำมะเขือเทศก็ให้หลีกเลี่ยง
- ควรรับประทานอาหารที่มีโปแตสเซี่ยม(มีมากในผลและผลไม้)และแมกนีเซี่ยมสูง(มี มากในพวกถั่ว ธัญพืช)



ขอบคุณ
mookfood.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น