
วิตามินซี คืออะไร???
ประวัติการค้นพบวิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ
และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี”
มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรคมะเร็งในตัวได้ นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้มะเร็งในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้นนอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%
► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัมหากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
ถ้าต้องการ Vitamin C 1000 mg/days
กิน ผลไม้ดังนี้ครับทานฝรั่ง 1/2 กก. หรือทาน มะละกอ 1.7 กก. หรือทาน ส้ม 1.9 กก.ต้องสดๆเท่านั้นนะครับ วิตามินซี ไม่ทนต่อแสงแดด เสื่อมสลายได้เร็ว
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา
วิตามินซีธรรมชาติ Vs วิตามินซีสังเคราะห์
..วิตามินซีธรรมชาติ...
วิตามินซีอยู่ในรูปของเกลือจึงมีสภาพความเป็นกรดต่ำไม่ระคายเคืองกระเพาะ
...วิตามินซีสังเคราะห์...
วิตามินมีความเป็นกรดสูงอาจมีผลกระทบต่อระบบกระเพาะอาหาร
...วิตามินซีธรรมชาติ...
มี ส่วนประกอบของไบโอฟลาวโวนอยด์ทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างเต็มที่ และสามารถป้องกันการถูกทำลายโดยกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
...วิตามินซีสังเคราะห์...
ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้อย่างเต็มที่และสูญสลายได้ง่ายจากกระบวนการอ๊อกซิเดชั่น
...วิตามินซีธรรมชาติ...วิตามิน ซีธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอย เพิ่มภูมิคุ้มกันลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดต้านทานอาการภูมิแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ บรรเทาความดันโลหิตสูงและต้อกระจกได้
...วิตามินซีสังเคราะห์...
วิตามินซีที่สังเคราะห์จะมีประสิทธิภาพไม่สูงมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีธรรมชาติ
...ใครบ้างที่ควรได้รับวิตามินซีเพิ่ม....
>ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด เป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ
>อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีอาการเครียด
>ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ
>ผู้ที่ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพ
...ปริมาณวิตามินซีที่คนเราควรได้รับในแต่ละวัน..
สำหรับ ความต้องการที่ควรจะได้รับวิตามินซีในแต่ละวันนั้น ก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย ดังนี้
>ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด โรคภูมิแพ้และร่างกายอ่อนแอ ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ผู้ที่อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีอาการเครียดในร่างกายควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>บำรุงผิวพรรณ ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อกระจกควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพควรได้รับวันละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม
วิตามินซี
ในทางการแพทย์ จะหมายถึงเฉพาะกรดแอสคอร์บิคเท่านั้น ใช้ควบคุมการทำงานของร่างกาย และร่วมกับวิตามินอี ในการต้านอนุมูลอิสระ
ใน ทางเคมี จะรวมถึงกลุ่มของสารพวกไบโอฟลาโวนอยด์อีกหลายชนิดเข้าไปด้วย เพราะมักจะอยู่ร่วมกับกรดแอสคอร์บิคในธรรมชาติ และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระคล้ายๆ กัน

วิตามินซีที่ขายมี 3 แบบ
1. แอสคอร์บิคอย่างเดียว
เป็นแบบที่ราคาถูกที่สุด และขายกันเยอะที่สุด เช่น ขององค์การเภสัช
เป็นแบบที่ใช้กันเป็นปกติ เพราะคุ้มค่า คุ้มราคา มีประโยชน์ ใช้รักษาอาการขาดวิตามินซีได้ชัดเจน
2. แบบ Low Acid คือการนำแบบแรก มาทำปฏิกิริยากับสารอื่น หรือผสมสารอื่น ให้มันเป็นกรดลดลง ไม่กัดกระเพาะ
มักจะเป็นขนาดยาสูงๆ อย่าง 500 มิลลิกกรัม
ใช้กรณีให้ผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัว หรือกำลังป่วย เป็นหวัด นอนโรงพยาบาล
เสี่ยงต่อการขาดวิตามิน หรือต้องการวิตามินจำนวนมากกว่าปกติ
3. แบบผสมไบโอฟลาโวนอยด์
อันนี้มักใช้เป็นอาหารเสริม คือแบบ 1 และ 2 บวกกับไบโอฟลาโวนอยด์
เนื่องจาก วิตามินซีมักจะไม่อยู่เดี่ยวๆ ในธรรมชาติ มักจะอยู่ร่วมกับสารอื่น ในกลุ่มเดียวกัน
แบบนี้สูตรต้นตำรับที่มีขายคือ แบล็คมอร์ ไบโอซี และ Nat-C
วิตามินซีส่วนใหญ่จะสังเคราะห์ขึ้น เอาสารไม่กี่ชนิดมาทำปฏิกิริยากัน ก็ได้วิตามินซีออกมาแล้ว
เพราะถูกกว่า และคุณสมบัติไม่แตกต่างจากการสกัดจากธรรมชาติ
....ความสำคัญของวิตามินซีที่มีต่อร่างกาย....
1.วิตามินซีกับโรคหวัด
วิตามิน ซีจะเข้าไปช่วยให้เม็ดเลือดขาว นิวโทรฟิล และแอนติบอดี้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิ คุ้มกัน และป้องกันโรคหวัดได้เป็นอย่างดีช่วนย่นระยะเวลาให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น
2.วิตามินซีกับการเสริมสร้างภูมิต้านทานวิตามิน ซีนอกจากเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวแล้วยังช่วยลดการ หลั่งสารฮิลตามินซึ่งสารนี้จะถูกกระตุ้นให้ปริมาณสูง เมื่อร่างกายได้รับสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
3.วิตามินซี กับผิวพรรณที่ดี
วิตามิน ซีช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อช่วยให้เซลล์ของร่างกายยึดไว้ ด้วยกัน จึงช่วยให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่มกระชับไม่เหี่ยวก่อนวัยอันควร ป้องกันการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยและบำรุงรักษาเหงือก
4.วิตามินซีกับโรคต้อกระจก
วิตามิน ซีช่วยลดอาการของโรคต้อกระจกได้เนื่องจากวิตามินซีจะเข้าไปลดสภาวะการทำงาน ของเอ็นไซม์อัลโดรีสดัตเตสที่อยู่ในร่างกายซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่มีผลในการ เร่งปฎิกริยาการเสื่อมของกระจกตาอันเป็นสาเหตุของโรคต้อกระจก
5.วิตามินซีกับการชะลอความเสื่อมของเซลล์
วิตามิน ซีช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ((แอนติออกซิแดนท์)) ซึ่งเป็นสารทำให้มีผลต่อการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายก่อนวัยสมควร และทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่นโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคไขข้อความดันโลหิตสูง และในบางครั้งการสูบบุหรี่หรือดื่มสุรามีผลทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่าง กายได้เช่นกัน
ข้อมูลบทความจาก วิชาการ.คอม , pantip , องค์การเภสัช