วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มากิน Vitamin C กันเถอะ










 
วิตามินซี คืออะไร???
          ประวัติการค้นพบวิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ
           และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี”
           มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรคมะเร็งในตัวได้ นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้มะเร็งในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี

            เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้นนอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
     ► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
      ► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
      ► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
      ► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
      ► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
      ► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%
      ► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
      ► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
     ► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10



ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัมหากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม

ถ้าต้องการ Vitamin C 1000 mg/days

กิน ผลไม้ดังนี้ครับทานฝรั่ง 1/2 กก. หรือทาน มะละกอ 1.7 กก. หรือทาน ส้ม 1.9 กก.ต้องสดๆเท่านั้นนะครับ วิตามินซี ไม่ทนต่อแสงแดด เสื่อมสลายได้เร็ว

    ► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
    ► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
    ► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
    ► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
    ►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา 


วิตามินซีธรรมชาติ Vs วิตามินซีสังเคราะห์  
 ..วิตามินซีธรรมชาติ...
วิตามินซีอยู่ในรูปของเกลือจึงมีสภาพความเป็นกรดต่ำไม่ระคายเคืองกระเพาะ


...วิตามินซีสังเคราะห์...
วิตามินมีความเป็นกรดสูงอาจมีผลกระทบต่อระบบกระเพาะอาหาร
...วิตามินซีธรรมชาติ...
มี ส่วนประกอบของไบโอฟลาวโวนอยด์ทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างเต็มที่ และสามารถป้องกันการถูกทำลายโดยกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

...วิตามินซีสังเคราะห์...
ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้อย่างเต็มที่และสูญสลายได้ง่ายจากกระบวนการอ๊อกซิเดชั่น

...วิตามินซีธรรมชาติ...วิตามิน ซีธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอย เพิ่มภูมิคุ้มกันลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดต้านทานอาการภูมิแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ บรรเทาความดันโลหิตสูงและต้อกระจกได้


...วิตามินซีสังเคราะห์...
วิตามินซีที่สังเคราะห์จะมีประสิทธิภาพไม่สูงมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีธรรมชาติ

...ใครบ้างที่ควรได้รับวิตามินซีเพิ่ม....
>ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด เป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ
>อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีอาการเครียด
>ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ
>ผู้ที่ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพ

...ปริมาณวิตามินซีที่คนเราควรได้รับในแต่ละวัน..
สำหรับ ความต้องการที่ควรจะได้รับวิตามินซีในแต่ละวันนั้น ก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย  ดังนี้
>ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด โรคภูมิแพ้และร่างกายอ่อนแอ ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ผู้ที่อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีอาการเครียดในร่างกายควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>บำรุงผิวพรรณ ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อกระจกควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
>ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพควรได้รับวันละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม

วิตามินซี
ในทางการแพทย์ จะหมายถึงเฉพาะกรดแอสคอร์บิคเท่านั้น ใช้ควบคุมการทำงานของร่างกาย และร่วมกับวิตามินอี ในการต้านอนุมูลอิสระ

ใน ทางเคมี จะรวมถึงกลุ่มของสารพวกไบโอฟลาโวนอยด์อีกหลายชนิดเข้าไปด้วย เพราะมักจะอยู่ร่วมกับกรดแอสคอร์บิคในธรรมชาติ และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระคล้ายๆ กัน



วิตามินซีที่ขายมี 3 แบบ

1. แอสคอร์บิคอย่างเดียว
เป็นแบบที่ราคาถูกที่สุด และขายกันเยอะที่สุด เช่น ขององค์การเภสัช
เป็นแบบที่ใช้กันเป็นปกติ เพราะคุ้มค่า คุ้มราคา มีประโยชน์ ใช้รักษาอาการขาดวิตามินซีได้ชัดเจน

2. แบบ Low Acid คือการนำแบบแรก มาทำปฏิกิริยากับสารอื่น หรือผสมสารอื่น ให้มันเป็นกรดลดลง ไม่กัดกระเพาะ
มักจะเป็นขนาดยาสูงๆ อย่าง 500 มิลลิกกรัม
ใช้กรณีให้ผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัว หรือกำลังป่วย เป็นหวัด นอนโรงพยาบาล
เสี่ยงต่อการขาดวิตามิน หรือต้องการวิตามินจำนวนมากกว่าปกติ

3. แบบผสมไบโอฟลาโวนอยด์
อันนี้มักใช้เป็นอาหารเสริม คือแบบ 1 และ 2 บวกกับไบโอฟลาโวนอยด์
เนื่องจาก วิตามินซีมักจะไม่อยู่เดี่ยวๆ ในธรรมชาติ มักจะอยู่ร่วมกับสารอื่น ในกลุ่มเดียวกัน
แบบนี้สูตรต้นตำรับที่มีขายคือ แบล็คมอร์ ไบโอซี และ  Nat-C

วิตามินซีส่วนใหญ่จะสังเคราะห์ขึ้น เอาสารไม่กี่ชนิดมาทำปฏิกิริยากัน ก็ได้วิตามินซีออกมาแล้ว
เพราะถูกกว่า และคุณสมบัติไม่แตกต่างจากการสกัดจากธรรมชาติ

....ความสำคัญของวิตามินซีที่มีต่อร่างกาย....

1.วิตามินซีกับโรคหวัด
วิตามิน ซีจะเข้าไปช่วยให้เม็ดเลือดขาว นิวโทรฟิล  และแอนติบอดี้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิ คุ้มกัน และป้องกันโรคหวัดได้เป็นอย่างดีช่วนย่นระยะเวลาให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น

2.วิตามินซีกับการเสริมสร้างภูมิต้านทานวิตามิน ซีนอกจากเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวแล้วยังช่วยลดการ หลั่งสารฮิลตามินซึ่งสารนี้จะถูกกระตุ้นให้ปริมาณสูง เมื่อร่างกายได้รับสารที่ก่อให้เกิดการแพ้

3.วิตามินซี กับผิวพรรณที่ดี
วิตามิน ซีช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อช่วยให้เซลล์ของร่างกายยึดไว้ ด้วยกัน จึงช่วยให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่มกระชับไม่เหี่ยวก่อนวัยอันควร ป้องกันการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยและบำรุงรักษาเหงือก

4.วิตามินซีกับโรคต้อกระจก
วิตามิน ซีช่วยลดอาการของโรคต้อกระจกได้เนื่องจากวิตามินซีจะเข้าไปลดสภาวะการทำงาน ของเอ็นไซม์อัลโดรีสดัตเตสที่อยู่ในร่างกายซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่มีผลในการ เร่งปฎิกริยาการเสื่อมของกระจกตาอันเป็นสาเหตุของโรคต้อกระจก

5.วิตามินซีกับการชะลอความเสื่อมของเซลล์
วิตามิน ซีช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ((แอนติออกซิแดนท์)) ซึ่งเป็นสารทำให้มีผลต่อการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายก่อนวัยสมควร และทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่นโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคไขข้อความดันโลหิตสูง และในบางครั้งการสูบบุหรี่หรือดื่มสุรามีผลทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่าง กายได้เช่นกัน


ข้อมูลบทความจาก วิชาการ.คอม , pantip , องค์การเภสัช






วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่องสิว..สิว ตอนที่2 ประเภทของสิว




https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiI1LRfrb8QMDbgPTeWkhwQkvFBI6vFoloDIEXzwpLW6QmEhZ0tEf0DST4VWWWHL_t5f-Tlnk__wUh0E5enw9GQ0HyQ-adgjt9AJ4Ji2Qhl6Bd4aVu8shSYotu9uMRgN02lAoxIJ_j8iV0I/s1600/%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599.png

การแบ่งชนิดของสิวจะแบ่งออกเป็น
  1. สิวที่ไม่มีการอักเสบ
- สิวหัวขาว (close comedone)
http://2.bp.blogspot.com/-PodRMIR-Hl8/T_Wts0iOWzI/AAAAAAAAAL8/DBAalTfUQSM/s1600/acne.jpg
เป็นสิวที่เกิดจากไขมันยังอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เห็นรูเปิดเล็กมากหรือไม่เห็นเลยเรียก close comedone ลักษณะเป็นตุ่มสีขาว ส่วน open comedone ลักษณะเป็นสิวหัวเล็กๆเป็นสิวหัวดำ ทั้งสองชนิดไม่ควรบีบให้หัวสิวออก เพราะเนื้อเยื่อจะช้ำ ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
ปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดสิว
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่นการเข้าสู่วัยรุ่น หรือการมีประจำเดือน
  • การเปลี่ยนแปลงของอากาศ
  • เครื่องสำอางที่มีไขมัน เช่น ยากันแดด ครีมบำรุงผิว
  • การสูบบุหรี่
การรักษาสิว
  • เครื่องมือกดสิวหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมัน
  • ผู้ที่หน้ามันให้ใช้สบู่ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ส่วนสบู่ที่ผสมยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ในการรักาาหรือป้องกันสิวชนิดนี้
  • ใช้ยาละลายขุยเช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1% cream ทาก่อนนอน ถ้ามีอาการระคายเคืองก็ลดลงให้ทาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรจะถูกแสงแดด เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองมาก ระยะแรกของการใช้ยาสิวจะเพิ่มขึ้น หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น
  • อาจจะใช้ยา 5% benzoyl peroxide[BP] ทาสิวทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วจึงล้างออก
  • ถ้าหัวสิวมีขนาดใหญ่ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นปิดบริเวณที่เป็น หลังจากนั้นใช้เครื่องมือ Schamberg loop บีบเอาหัวสิวออก
ยารับประทาน
ยารับประทานที่ใช้ป้องกันและรักษาได้แก่
  • ฮอร์โมน
  • อนุพันธ์ของวิตามินเอ
  • ส่วนยาปฏิชีวนะจะไม่ได้ผล
- สิวเสี้ยน
คำว่า comedone หมายถึงต่อมขุมขนที่มีไขมันอุดตัน หากหัวสิวเปิดสู่ผิวเรียก open comedone ลักษณะเป็นหัวสิวหัวเล็กๆสีดำ ส่วนหัวสิวที่ไม่เปิดสู้ผิวหนังเรียก close comedone ลักษณะจะเป็นตุ่มหัวขาวๆ ไม่ว่าจะเป็นสิวชนิดไหนก็ไม่ควรจะบีบหัวสิวออก ที่เห็นเป็นสีดำเนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว มิใช่เกิดจากสิงสกปรก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขัดหรืออาบน้ำบ่อยหรือถูแรงๆเพราะจะเป็นผลเสียต่อผิว หนัง
http://www.doctorcosmetics.com/content_pic/image/acne.gif

การรักษา

  • ผู้ที่หน้ามันให้ใช่สบู่ล้างหน้า หรืออาบน้ำวันละ 2 ครั้ง สบู่ที่ผสมยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ และอาจจะระคายเคืองต่อผิวหนัง
  • อาจจะใช่ครีมที่มีส่วนผสมของ salicylic ทาเพื่อลอกเอาเซลล์ที่ตายออก
  • สำหรับท่านที่มีผมมันก็ให้สระผมทุกวัน
  • เครื่องสำอางค์ต้องเลือกชนิดที่ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ
  • ใช้ยาละลายขุย เช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1 % cream ทาก่อนนอน หลังทายาอาจจะมีอาการระคายเคือง หากมีอาการดังกล่าวให้ทายาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรจะถูกแดดเพราะจะทำให้ระคายเคืองมากขึ้น ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะมีอาการเหอของสิว หลังจากทาไปแล้ว 2-3 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น
  • ยาที่อาจจะเลือกใช้อีกชนิดคือ 5% benzoyl peroxide [BP]ทา 10-15 นาทีแล้วล้างออก หากไม่มีอาการก็ให้ทาทิ้งไว้ -2 ชั่วโมงแล้วล้างออก
  • ถ้าเป็นหัวสิวขนาดใหญ่ให้ผ้าชุบน้ำอุ่นปิดบริเวณที่เป็น หลังจากนั้นใช้ที่กดหัวสิวกดเอาสิวออก

2. สิวที่มีการอักเสบได้แก่
-สิวอักเสบ
 papulonodular acne
คำว่า papule หมายถึงสิวที่เป็นตุ่มเล็กๆน้อยกว่า 5 มิลิเมตร ส่วน nodule เหมือน papule แต่จะมีการอักเสบ และรอยโรคเป็นในผิวหนังระดับลึก เมื่อหายอาจจะเกิดแผลเป็น พวกนี้สิวจะมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆแดงๆ บางรายเป็นก้อนเล็กเมื่อคลำจะรู้สึกเหมือนกระดาษทราย nodu
การรักษา
  • ผู้ป่วยที่ หน้ามันให้ใช้สบู่ล้าง หน้าบ่อยๆ สบู่ที่ผสมยาปฏ ิชีวนะไม่มีประโยชน์
  • ใช้ยาละลายขุยเช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1% cream ทาก่อนนอน ถ้ามีอาการะคายเค ืองให้ทายาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรถ ูกแสงเพราะจะทำให้ผิวบริเวณนั้นระคายเคืองมาก ระยะแรกของการใช้ยาโรคอาจจะเหอ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น หรืออาจะใช้ 5% benzoyl peroxide[BP] ทา10-15นาทีแล้วล้างออก ถ้าไม่มีอาการแพ้ให้เพิ่มเป็น 1-2 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก
  • หลังจากล้างเอา BP ออกให้ทา clindamycin 0.1% วันละ 2-3 ครั้ง
  • ให้ยารับประทาน tetracyclin 250 mg ครั้งละ 2 เม็ดวันละ2 ครั้ง เมือดีขึ้นค่อยลดยาลงไม่ควรใช้ยานี้ในคนท้องac

สิวเป็นหนอง papulopustular
สิวเป็นหนองเป็น สิวที่มีการติดเชื้อจะเห็นลักษณะเป็นตุ่มและมีหนองอยู่ ถ้าเป็นสิวหนองชนิดตื้นก็จะหายได้เร็ว ส่วนชนิดลึกจะเป็นชนิดรุนแรงมักจะมีอาการเจ็บร่วมด้วย การรักษาเหมือน papulonodular ใช้เวลารักษา 2-6 สัปดาห์ ยาปฏิชีวนะอาจจะเปลี่ยนเป็น clotrimoxazole ,cephalosporin หรือ clindamycin ตุ่มหนองที่อยู่ตื้นจะไม่เป็นแผลเป็น

การแบ่งตามระดับความรุนแรงของสิว

การแบ่งตามระดับความรุนแรงของสิวเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษาเราแบ่งความรุนแรงของสิวออกเป็น 3 ระดับดังนี้

ความรุนแรงอย่างอ่อน

จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
  • มีสิวเสี้ยนที่ไม่อักเสบน้อยกว่า 20 หัว
  • มีสิวที่มีการอักเสบน้อยกว่า 15 หัว
  • หรือมีจำนวนสิวน้อยกว่า 30 หัว

ความรุนแรงระดับปานกลาง

  • มีสิวที่ไม่มีการอักเสบ 20-100 หัว
  • มีสิวที่มีการอักเสบ 15-50หัว
  • หรือมีจำนวนสิวมากกว่า 30-125 หัว

เป็นสิวระดับรุนแรง

  • มี cyst มากกว่า 5 cysts
  • มีจำนวนหัวสิวมากกว่า 100 หัว
  • มีจำนวนสิวอักเสบมากกว่า 50 หัว
  • มีจำนวนหัวสิวทั้งหมดมากกว่า 125
ขอบคุณข้อมูล จาก
http://siamhealth.net





วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่อง สิวๆตอนที่1 ตอน กำเนิดสิว



สิว(Acne) คือตุ่มเม็ดเล็กๆ ที่มีหนองเป็นไตสีขาวๆอยู่ข้างใน ขึ้นตามหน้า เกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขนจากหัวสิว โคมิโดน(Comedone) ซึ่งสามารถอักเสบได้ง่ายหากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรียหรือฝุ่นละอองในอากาศ

สาเหตุการเกิดสิว มีหลายสาเหตุ เป็นที่ถกเถียงกันว่า สิวเกิดจกาอะไร สาเหตุหลักๆแบ่งได้ 2 ปัจจัยดังนี้
ปัจจัยภายใน คือปัจจัยที่เกิดจากร่างกายของเราเอง เช่น ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ โรคเรื้อรัง และผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด
ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นนอกร่างกายของเรา เช่น ยา เครื่องสำอาง สภาพแวลล้อม สังคม แสงแดดอุณหภูมิ ความสะอาดและอาหารซึ่งเราสามารถป้องกันได้

กระบวนการเกิดสิว

  สิวมักเกิดบริเวณ Seborrhic area ซึ่งผิวหนังบริเวณนั้นมี Pilosebaceous unit ชนิด Sebaceous follicle เป็น follicle ที่ประกอบไปด้วย small villus hair และ large multiacina sebaceous gland เมื่อมีการกระตุ้น Sebaceous gland มากเกินพอดีจะสร้างไขมัน (Sebum) มามากขึ้น Sebum นี้ประกอบด้วย triglyceride,ester,wax และสารอื่นๆ หาก Sebum ถูกผลิตมากจะระบาย sebum ออกทางรูขุมขนไม่ทัน และค้างใน follicle ,sebum จะกระตุ้นให้ Keratinocyte
สร้าง keratin มามากขึ้นและจับตัวกันแน่นผิดปรกติ เกิดเป็นสิวอุดตัน (Comedone) ต่อมาการอุดตันนั้น ทำให้เกิดสภาพไร้ออกซิเจนในรูขุมขน แบคทีเรีย P.acne จะเจริญเติบโตได้ดีและย่อยสลายไขมันเป็นสารที่มี ความสามารถ recruit เม็ดเลือดขาวมาที่บริเวณนั้นและก่อให้เกิดการอักเสบตามมา จึงเกิดเป็นสิวอักเสบ


วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กินต้านเสื่อม

    ปัจจุบัน อาหารสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจำนวนมากต่างก็ชู คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระเป็นจุดขายเพื่อชะลอความเสื่อม เพื่อความงามและดูอ่อนกว่าวัย การกินผักผลไม้ของเราก็มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ “สารต้านอนุมูลอิสระ” เพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากเพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่แบบที่เคยเรียนมาตอน เด็กๆ เราได้ยินชื่อผักผลไม้แปลกๆ จากแดนไกลเป็นส่วนผสมที่อุดมไปด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณทราบหรือไม่ว่าอนุมูลอิสระคืออะไร? ทำไมเราจึงต่อต้านมัน?
แล้วอนุมูลอิสระทำร้ายเซลล์ได้อย่างไร?
เนื่องจากลักษณะของอนุมูลอิสระที่มีอิเล็กตรอนอิสระในโครงสร้างทำ ให้มีความไวสูงต่อการทำปฏิกิริยากับดีเอ็นเอ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมันที่เป็นองค์ประกอบในร่างกาย อนุมูลอิสระจึงเปรียบเหมือนโจรวิ่งราวที่ว่องไว ใช้วิธีการวิ่งชนและฉกเอาอิเล็กตรอนออกมา ซึ่งเมื่อเสียอิเล็กตรอนไปก็จะมีผลให้โครงสร้างและการทำงานเสียไปด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อผนังเซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระก็จะเสียโครงสร้างทำให้การไหลเข้าออก ของสารผ่านเซลล์ผิดปกติจนทำให้เซลล์ตาย หรือเมื่อแอลดีแอลโคเลสเตอรอล (ไขมันร้าย – LDL cholesterol) ถูกชนโดยอนุมูลอิสระก็จะทำให้เปลี่ยนโครงสร้างและเกาะกับผนังหลอดเลือดได้ ง่ายขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง อนุมูลอิสระจึงเป็นสาเหตุของความเสื่อมของร่างกายที่สำคัญ และยังเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน จอประสาทตาเสื่อมอันเนื่องมาจากวัย เป็นต้น
อนุมูลอิสระ
(Free Radical)
เป็น โมเลกุลเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นในขณะที่ออกกำลังกาย ขณะเจ็บป่วย เครียด และเป็นผลพลอยได้จากเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน นอกจากนี้ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราก็ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระได้เช่นกัน เช่น ควันบุหรี่ มลภาวะทางอากาศแสงแดด สารเคมีปนเปื้อนในอาหาร เป็นต้น ดังนั้นเซลล์ร่างกายจำนวนหลายพันล้านเซลล์ของเราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ ต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
กินอย่างไรให้ต้านเสื่อม?
ถึง แม้เราจะหลีกเลี่ยงอนุมูลอิสระไม่ได้แต่ธรรมชาติก็มอบสารที่มีคุณสมบัติ “ต้านอนุมูลอิสระ”หลายร้อยชนิดในรูปต่างๆ โดยเฉพาะที่พบในผักผลไม้ เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอและไฟโตนิวเทรียนท์ผักผลไม้เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ที่สุด โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีสีสันต่างๆ และพืชสมุนไพร เช่น ผักโขมบร็อคโคลี แครอท ส้ม ทับทิม บลูเบอร์รี แอปเปิล องุ่นแดง ขมิ้นชัน ขิง อบเชย เป็นต้น ซึ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 - 500 กรัม แต่คนไทยร้อยละ 78 รับประทานผักผลไม้เพียงวันละ 276 กรัม หรือประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำเท่านั้นเนื่องจากร่างกาย สร้างและได้รับอนุมูลอิสระในทุกวันไม่มีวันหยุด การกินสารต้านอนุมูลอิสระให้เพียงพอในทุกๆ วันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายในการต่อต้านกับอนุมูล อิสระที่คุกคามเซลล์ต่างๆ และสร้างความเสื่อมถอยให้กับสุขภาพ ซึ่งจากงานวิจัยจำนวนมากได้ยืนยันว่าการกินอาหารที่อุดมไปด้วยผักผลไม้ให้ มากจะลดโอกาสในการเกิดโรคบางโรคให้น้อยลง
ข้อแนะนำแนวการกินเพื่อต้านเสื่อมดังนี้
กินผักผลไม้ หลากหลายชนิดให้ครบ 5 สีในแต่ละวัน อย่างน้อยวันละ 400 - 500 กรัม เพื่อให้ได้รับผักผลไม้เพิ่มขึ้นทุกวัน ลองเพิ่มผักเข้าไปในอาหารทุกมื้อ และแทนขนมหวานด้วยผลไม้สด
กินธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole grain) ซึ่งอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์และใยอาหาร
กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน เพื่อกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
หลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายขัดขาว ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ
ของความเสื่อมและทำให้แก่เร็ว
เปลี่ยนเครื่องดื่มประจำตัวจากน้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นน้ำเปล่า หรือชาเขียวไม่ใส่น้ำตาล และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง อาหารถุงสำเร็จรูปที่มักใช้น้ำมันที่คุณภาพไม่ดีมาประกอบอาหาร ซึ่งจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกาย

เลือกถั่วอบเป็นขนมขบเคี้ยวแทนมันฝรั่งทอดกรอบหรือเบเกอรี ถั่วอุดมไปไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินบี และไฟโตนิวเทรียนท์
นอกจากอาหารการกิน ที่เพียงเสียเวลาเตรียมเพิ่มอีกนิด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากผักผลไม้อย่างเพียงพอ
การต้านเสื่อมและป้องกันโรคยังขึ้นกับการดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ ของเรา ซึ่งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลจิตใจให้มีสุข ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนจากภายใน

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สวยเซ็กซี่ยาวนาน

สวยเซ็กซี่ยาวนาน

อากาศร้อนอาจเป็นตัวการที่ทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้า ที่คุณอุตส่าห์บรรจงแต่งไว้เป็นอย่างดีดูเลอะเลือนหรือจางหายไปได้ง่ายๆ แต่ถ้าคุณใช้เคล็ดลับง่ายๆ ของเรานี้ ก็จะช่วยให้เครื่องสำอางติดอยู่บนใบหน้าได้อย่างยาวนานขึ้น

134079279-985x1024
  • ดวงตา การเก็บดินสอเขียนตาไว้ในตู้เย็นจะช่วยให้คุณเขียนตาได้อย่างเรียบคมขึ้นได้ และควรใช้อายแชโดว์ชนิดฝุ่นที่มีเฉดสีเดียวกันทาทับบนเส้นขอบตาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เส้นขอบตาเลอะเลือน นอกจากนี้ก็ควรเลือกใช้แต่มาสคาร่าชนิดกันน้ำ และอย่าปัดมาสคาร่าบริเวณขนตาล่าง
  • ปาก การแตะแต้มคอนซีลเลอร์ลงบนริมฝีปากก่อนทาลิปสติกหรือลิปกลอส จะช่วยให้ลิปสติกหรือลิปกลอสมีที่เกาะอยู่บนริมฝีปากได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้ดินสอเขียนขอบปากก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ลิปสติกและลิปกลอสไหลเยิ้มออก มานอกขอบปากได้
  • รองพื้น ถ้าคุณอย่าให้ผิวหน้าดูเนียนใสอยู่ได้นานๆ หลังทาครีมรองพื้นเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมใช้พัฟฟ์กดแป้งฝุ่นลงบนผิวหน้า เพื่อช่วยเซ็ตครีมรองพื้นให้ตรึงอยู่กับที่ จากนั้น ก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ปัดแป้งส่วนเกินออกไป วิธีนี้นอกจากจะไม่ทำให้ครีมรองพื้นไหลเยิ้มแล้ว ยังช่วยให้อายแชโดว์และบลัชออนมีที่เกาะอย่างแน่นหนาด้วย
เครดิตภาพประกอบจาก beautyramp
ข้อมูลโดย : Lisaguru

 

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปวดหลัง ปวดคอ... อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม!

ปวดหลัง ปวดคอ... อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม!
Pic_26914 หากชีวิตประจำวันของคุณคือนั่งทำงานในออฟฟิศแทบทั้งวัน และเหนื่อยล้าเกินกว่าจะออกกำลังกายเป็นประจำ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีอาการปวดไปตามแขน ขา บ่า ไหล่ ที่ทำอย่างไรก็ไม่หายขาด และคุณอาจจะนึกไม่ถึงว่าอาการปวดที่ว่านั้นอาจจะมีสาเหตุมาจากกระดูก สันหลัง!

อาการปวดบริเวณต่างๆ อาทิ คอ บ่า ไหล่ แขน ขา สะโพก นั้นบางครั้งอาจเกิดจากการอับเสกของกล้ามเนื้อ แต่หากอาการปวดต่างๆ เหล่านี้ เป็นอาการปวดที่ทรมาน กินยาแก้ปวดไม่หาย นี่ไม่ใช่การอักเสบของกล้ามเนื้อ แต่เป็นอาการเกร็งตัวเรื้อรัง สังเกตได้ว่าอาการปวดนั้นไม่ได้เกิดเนื่องจากได้รับการกระแทก หรือข้อเข่าเสื่อม แต่เป็นการปวดที่แผ่ลงมา อาการปวดนี้จะขยายมาจากส่วนกลางของลำตัว ให้ตระหนักว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากกระดูกสันหลังหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลร้ายต่อการใช้ชีวิตประจำวัน



อาการ ปวดคอ บ่า ไหล่ แขน หลัง ขา สะโพก ต่างมีอาการปวดเรื้อรังไม่ต่างกัน แต่โรคที่เป็นนั้นต่างกันไป เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้น (HNP) ช่องกระดูกเสื่อมตีบทับเส้นประสาท (Spinal Stenosis) ปวดหลังร้าวลงสะโพกจากข้อฟาเซ็ต (Facet Syndrome) กระดูกเสื่อมทับไขสันหลังส่วนคอ (CSM) หมอนรองกระดูกเอวเสื่อม (DDD) กระดูกสันหลังส่วนเอวเลื่อนทับเส้น (Spondylolisthesis) และวัณโรคกระดูกสันหลัง (TB Spondylitis)



สาเหตุการปวดคอที่พบบ่อยๆ เกิดจาก
  • อิริยาบทหรือท่าที่ผิดสุขลักษณะในกิจวัตรประจำวัน เช่น ยืนหลังค่อม พุงยื่น
  • การก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวัน
  • ความเครียดทางจิตใจ
  • คอเคล็ดหรือยอก
  • ภาวะข้อเสื่อม
  • การบาดเจ็บของกระดูกคอ เช่น จากอุบัติเหตุจากที่ สูง ฯลฯ
  • ข้ออักเสบ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • หมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
การรักษา
  1. สำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดคอหรือคอแข็งอย่างเฉียบพลัน อาจเกิดจากการเอี้ยวผิดท่าหรือหลังตื่นนอน อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอ ทางที่ดีควรหาโอกาสนอนราบชั่วคราว ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำร้อนตรงบริเวณที่ ปวด ถ้ายังไม่ทุเลาให้กินยาแก้ปวด
  2. ผู้ที่ปวดคอเรื้อรัง อาการปวดมักไม่รุนแรง แต่ก็มักทำให้รำคาญ เช่น เวลาก้มหรือเงย ตะแคงหรือเอี้ยว คอจะทำได้ไม่เต็มที่ปวดภายหลังจากทำงานทั้งวัน หรือคอเคล็ดยอกบ่อยๆ เวลาบิดผิดท่า ควรประคบ ด้วยน้ำแข็งและน้ำอุ่น กินยาแก้ปวด และโดยการนวด อย่างถูกวิธี
  3. ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อคอ เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่นดีขึ้น
  4. ถ้าหากอาการยังไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องต่อไป
การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการปวดคอ
  1. ระวังอิริยาบถ แม้ขณะทำงานก้มๆ เงยๆ มากและนานเกินไป
  2. ขณะทำงานควรหาเวลาหยุดพักเปลี่ยนอิริยาบถสัก 2-3 นาที ทุกๆ ชั่วโมง
  3. เก้าอี้ที่นั่งทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องขับรถ ควรเลือกเก้าอี้ที่พนักแข็งแรงและมีที่หนุนคอให้พอดี
  4. เวลานอน ควรนอนบนที่นอนที่แข็ง ให้ศีรษะอยู่ ระดับเดียวกับพื้น อย่านอนคว่ำอ่านหนังสือหรือดูทีวี
ข้อสำคัญที่สุด
  • หมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อคอทุกๆ วัน และพยายามลด ความเครียดจากชีวิตประจำวัน โดยการออกกำลังกาย เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ
  • ปัจจุบัน มีวิธีการรักษาหลายทาง แบ่งออกเป็น การทานยา การทำกายภาพบำบัด การจี้ด้วยเข็ม การฝังเข็ม จนกระทั้ง การผ่าตัด ซึ่งการรักษาในผู้ป่วยแต่ละหลายจะรักษาที่ต้นเหตุและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เพราะปัจจุบันวิวัฒนาการในการรักษาโรคกระดูกทับเส้นประสาทนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยวิธีการผ่าตัดเท่านั้น เพราะวิธีผ่าตัดไม่ใช้การรักษาที่ดีที่สุด ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาต่อไป”

ที่มา : โรงพยาบาลกรุงเทพฯ นาวาอากาศเอก นพ.ทายาท บูรณกาล

หนีให้ไกล โรคหนุ่มสาวออฟฟิศ

หนีให้ไกล โรคหนุ่มสาวออฟฟิศ
Pic_345377
เห็นชื่อก็ต้องร้องอ๋อ!! เพราะ “ออฟฟิศซินโดรม” เป็นโรคเฉพาะของหนุ่มสาวออฟฟิศ ซึ่งนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ จนก่อให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆของร่างกาย ไล่ตั้งแต่คอ, ไหล่, หลัง, แขน และขา

ต้องเลิกทำงานออฟฟิศถึงจะหายขาดจากโรคนี้ ก็คงไม่ถึงขนาดนั้น!! เพราะที่จริงแล้วยังมีเทคนิคออกกำลังกายแบบง่ายๆเพื่อหนีห่างจากโรคยอดฮิต ของคนเมือง โดยค่ายเกร๊ต อิสเทอร์น ดรั๊ก ผู้คิดค้นพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ “เมดิสปา” อโรเมติกเฉพาะจุดสกัดจากพืชธรรมชาติสำหรับนวดผ่อนคลายด้วยตนเอง ได้เชื้อเชิญ “อาจารย์ ดร.ภครตี ชัยวัฒน์” จากคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล มาแนะนำเทคนิคการออกกำลังกายเพื่อป้องกันและผ่อนคลายจากอาการ “ออฟฟิศซินโดรม”

เริ่ม ด้วย การหายใจปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ โดยใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสที่หน้าท้อง แล้วหายใจเข้าลึกๆให้สุด มือสัมผัสได้ว่าท้องป่องให้นับ 1-4 จากนั้นหายใจออก มือสัมผัสได้ว่าท้องแฟบให้นับ 1-8 ต่อมาเป็น ท่ายืดกล้ามเนื้อผ่อนคลายอาการปวดร้าวคอ, บ่า และไหล่ เริ่มจากก้มคอและเอียงศีรษะ หันหน้าไปยังข้อเข่าด้านตรงกันข้ามกับข้างที่เอียงศีรษะ แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับขอบเก้าอี้ไว้ไม่ให้ลำตัวเคลื่อน ส่วนมืออีกข้างช่วยยืดกล้ามเนื้อ ขณะยืดกล้ามเนื้อควรรู้สึกตึงมากที่สุด ทำค้างไว้ 5-10 วินาที ทำทั้งสองข้าง อย่างน้อยข้างละ 5 ครั้ง ส่วนใครมีปัญหา เมื่อยล้าแขนและมือ แนะนำให้นำมือมาประสานกัน แล้วพลิกมือเหยียดไปข้างหน้าให้สุด ค่อยๆยกสูงขึ้นช้าๆจนแขนแนบหู ทำค้างไว้ 5-10 วินาที อย่างน้อย 10 ครั้ง สำหรับ ท่าผ่อนคลายอาการปวดน่องจากการใส่รองเท้าส้นสูง ควรนั่งตัวตรง แล้วเตะขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้น และกระดกข้อเท้า หมุนข้อเท้าไปด้านขวาและซ้ายอย่างละ 5 รอบ ทำอย่างน้อยข้างละ 10 ครั้ง.

ขอขอบคุณ
นสพ.ไทยรัฐ

ภูมิปัญญาที่หายไป ชาวนาไทยปลูกข้าวไม่เป็น?

ภูมิปัญญาที่หายไป ชาวนาไทยปลูกข้าวไม่เป็น?
Pic_342931
ชาวนาไทยปลูกข้าวเก่งยากจะหาชนชาติใดเสมอเหมือน...จริงหรือ???

จะ เชื่อหรือไม่ ถ้าจะบอกว่า ไปๆ มาๆ ชาวนาไทยกำลังจะกลายเป็นคนปลูกข้าวไม่เป็น...เห็นได้จากสถิติการปลูกข้าวของ เราให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ สู้เพื่อนบ้านไม่ได้

ไม่ใช่เพราะดินเราเสื่อม ดินเราไม่ดีสู้เพื่อนบ้านไม่ได้อย่างที่อ้างกัน...แต่เพราะเราละเลยวิธีปลูกข้าวที่บรรพบุรุษเคยทำมา

“เดี๋ยว นี้ชาวนาไทยไม่ค่อยรู้จักวิธีปลูกข้าวต้นเดี่ยวแบบอินทรีย์ ในขณะที่ชาวนามาดากัสการ์ จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา กัมพูชายังใช้วิธีนี้ และยอมรับว่าเป็นระบบปลูกข้าวแบบเข้มข้น (System of Rice Intensification-SRI เลยทำให้การปลูกข้าวของเขาได้ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำ”

ดร.อาพา มิชรา หัวหน้าโครงการปลูกข้าวต้นเดี่ยวแบบอินทรีย์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ซึ่งได้รับทุนจากสหภาพยุโรป ศึกษาหาทางสร้างความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำ โขงตอนใต้ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม บอกว่า การปลูกข้าวต้นเดี่ยวเป็นวิธีที่คนไทยรู้จักกันมานาน

แต่ถูกทอดทิ้ง ไป เพราะหลงติดใจวิธีปลูกแบบเอาสะดวกเข้าว่า หว่านข้าวโดยไม่สนว่า ต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์จะสูง การกำจัดวัชพืชทำได้ยาก ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตต่ำทั้งๆที่ซัดปุ๋ย ใส่ยาเคมีสารพัด

“การ ปลูกข้าวต้นเดี่ยวหรือทำนาดำ เป็นภูมิปัญญาอันหลักแหลมของบรรพบุรุษไทย เพราะ เป็นวิธีทำให้ต้นข้าวแตกกอได้ดี ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำ เพราะต้นข้าวแตกกอได้มาก นั่นหมายถึงผลผลิต เพิ่มขึ้น”

แล้ว หากเปรียบเทียบระหว่างการปลูกข้าวต้นเดี่ยวกับนาหว่าน นายมานพ สายเพชร ผู้ช่วยวิจัยโครงการ บอกว่า การปลูกข้าวต้นเดี่ยวในพื้นที่ 1 ไร่ใช้เมล็ดพันธุ์ 1-2 กก. เอาไปเพาะกล้าก่อนด้วยวิธีทำร่องน้ำ ยกพื้นเหมือนแปลงผักขนาด 1x4 เมตร โรยปุ๋ยคอกก่อน ถึงเอาเมล็ดพันธุ์ 1 ไร่ใช้แค่ 1-2 กก. แล้วโรยปุ๋ยคอกทับอีกชั้น ใช้บัวรดน้ำเหมือนการปลูกผัก 12 วัน ต้นกล้าจะงอก ถอนเอาไปปลูกในแปลงนา

ห้ามใช้วิธีถอนแล้วเตะต้น กล้า เพราะจะทำให้กล้าช้ำ โคนหัก ฟื้นตัวยากและตาย ต้องมาปลูกซ่อมกันใหม่ การปลูกต้นกล้าให้วางลงดินลึกไม่เกิน 2 ซม. ระยะห่างระหว่างต้น 25x25 ซม.เพียงคืนเดียวต้นกล้าจะตั้งตรงได้ และอีก 1 สัปดาห์

จะแตกกอใหญ่ ปลูกเป็นแถวเป็นแนวมีระเบียบ การดูแลเก็บถอนวัชพืชทำได้ง่าย แต่ละต้นรับแสงเต็มที่ไม่ต้องแย่งกัน ผลผลิตที่ได้ข้าวเต็มรวงน้ำหนักดี...หนอนก็ไม่ค่อยมารบกวน โรครวงสีขาวลดลงไป 80 เปอร์เซ็นต์ ต้นข้าวแข็งแรงไม่ล้มง่าย

ส่วนนาหว่านที่ชาวนาไทยยุค นี้ชอบทำกันนั้น ในพื้นที่ 1 ไร่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์สูงถึง 35 กก. หรืออาจมากกว่านี้ นอกจากเปลืองพันธุ์ข้าว เข้าไปกำจัดวัชพืชยาก แล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยของหนอกอ โรคต่างๆอีกต่างหาก.
ขอขอบคุณ
เพ็ญพิชญา  เตียว
นสพ.ไทยรัฐ

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มะพร้าว ตอน นํ้ามันมะพร้าวป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างไร

นํ้ามันมะพร้าวป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างไร 

 http://www.feidathai.com/UserFiles/Image/health%20care-2(2).jpg

 

ในบรรดาโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์ โรคมะเร็งเป็นลำดับที่สองรองจากโรคหัวใจ  โรคมะเร็งที่พบบ่อย 6 อันดับแรกของโลก คือ โรคมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ และมะเร็งปากมดลูก หลายคนคิดว่า หากเป็นมะเร็งแล้วก็ต้องเสียชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคมะเร็งเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายได้ ถ้าตรวจพบในระยะแรกเริ่มและได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี และต่อเนื่อง แต่วิธีที่ดีที่สุด คือการป้องกัน


                    สาเหตุของโรคมะเร็งเกิด จากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในบางเนื้อเยื่อ โดยทั่วไปแล้ว เซลล์มีชีพจักรของการเจริญเติบโตตามปกติ รวมทั้งการแบ่งเซลล์ และการตายตามอายุขัย ในระยะเริ่มแรกของชีวิต เซลล์มีกิจกรรมที่รวดเร็ว แต่ในผู้ใหญ่เซลล์จะแบ่งตัวเพียงเพื่อทดแทนเซลล์ที่ตายไป  และเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นเมื่อถูกทำร้ายแต่เซลล์มะเร็ง สามารถเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ตลอดเวลา และกระจายไปยังส่วนอื่น ๆ  ของร่างกาย แล้วไปสร้างปัญหาให้แก่ส่วนต่างๆของร่างกาย 
                    สาเหตุใหญ่ของการเจริญที่ผิดปกติของเซลล์  อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม หรือ DNA เซลล์มะเร็งไม่ สามารถรักษา DNA ที่เปลี่ยนไปได้กลับคืนสู่สภาพปกติได้ DNA ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ เป็นผลจากพันธุกรรมที่ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ  หรือถูกกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษ เชื้อโรค และที่สำคัญ จากการถูกกับอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ DNA มะเร็งส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แสดงออกได้โดยการเกิดเนื้องอก อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เนื้องอกทุกชนิดจะเป็นเซลล์มะเร็ง
   
                    มีสมมุติฐานที่ว่า คนเราทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ที่เราไม่มีเป็นโรคมะเร็ง ก็เพราะเรามีระบบภูมิคุ้มกัน และเราจะเป็นโรคมะเร็งก็ต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ แม้ว่าเรามีสารก่อมะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ถ้าภูมิคุ้มกันของเรายังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราก็จะไม่เป็นโรคมะเร็ง มีปัจจัยหลายอย่างที่เราจะเพิ่มภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง เช่น การรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้เกิดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญก็คือ หลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น การสูบบุหรี่ และการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ประการสุดท้ายคือการเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยการบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ เพราะสามารถใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ ข้อความนี้ไม่ได้เกิดจากการเล่าประสบการณ์ของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งแต่เพียงอย่างเดียว แต่จากผลการวิจัย และการศึกษาทางการแพทย์ด้วย มีประจักษ์พยานมากมายที่ระบุว่า น้ำมันมะพร้าว สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ หรืออย่างน้อยก็โรคมะเร็งบางชนิด จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า น้ำมันมะพร้าวมีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคมะเร็ง เช่น ใช้รักษาโรคมะเร็งผิวหนังของหนูทดลอง ที่กระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังโดยสารก่อมะเร็ง ผลก็คือ น้ำมันมะพร้าวไปหยุดยั้งการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง

                    บทบาทของน้ำมันมะพร้าวในการป้องกันโรคมะเร็ง
                    1.  ปลอดภัยจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง คุณสมบัติที่เด่น ได้แก่
                         1.1  ปราศจากอนุมูลอิสระ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมี ไขมันอิ่มตัวสูง 92%  จึงมีความอยู่ตัวทางเคมีสูง แม้จะถูกกับอุณภูมิสูง ก็ไม่เกิดการเติมออกซิเจน จึงไม่เกิดเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง
                         1.2  ช่วยเติมแอนตีออกซิแดนต์ที่ถูกทำลายในร่างกาย โดยปกติร่างของเรามีแอนตีออกซิแดนต์ที่ได้จากอาหารต่าง ๆ  ที่ช่วยทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม อาหารและเครื่องดื่ม การสูบบุหรี่ รังสี ความเครียด  ฯลฯ  แต่เมื่อบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัวซึ่งถูกเติมออกซิเจนได้ง่าย ๆ  ตั้งแต่เริ่มสกัด ตลอดจนระหว่างการขนส่ง การวางจำหน่ายและเก็บรักษาก่อนบริโภค จึงเกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้น และไปลบล้างประสิทธิภาพของแอนตีออกซิแดนต์ที่มีอยู่ในร่างกาย เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีแอนตีออกซิแดนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยเติมส่วนที่ถูกทำลายไปในร่างกาย จึงไปช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น
                         น้ำมันมะพร้าวยัง มีวิตามินอี ในรูป tocotrienol ซึ่งมีประสิทธภาพสูงกว่า tocopherol ที่มีอยู่ในวิตามินอีทั่วไป 40 - 60 เท่า วิตามินอี ทำหน้าที่ป้องกันการเติมออกซิเจน จึงป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ
                     2.  ปลอดภัยจากการทำลายไขมันทรานส์ จากการวิจัยพบว่า การเติมไฮโดรเจน เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำมันไม่อิ่มตัวเปลี่ยนไปเป็นไขมันทรานส์ ทั้งนี้ ก็เพราะน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันคาโนลา แม้กระทั่งน้ำมันมะกอก มีโมเลกุลที่ประกอบไปด้วยแขนคู่ ที่เป็นจุดอ่อนของโมเลกุล ทำให้ไม่อยู่ตัว และถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันทรานส์ได้โดยง่าย ๆ  โดยกระบวนการเติมไอโดรเจน มีผลงานวิจัยมากมายที่สรุปว่า ไขมันทรานส์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ ปราศจากไขมันทรานส์ เพราะเป็นไขมันอิ่มตัว ที่โมเลกุลมีแขนเดี่ยวที่มีความอยู่ตัวสูง จึงไม่เกิดการเติมไฮโดรเจน ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็ง
               ไขมันทรานส์เกิดได้ในอาหาร 2 ประเภท คือ
               2.1.  อาหารที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรม การเติมไฮโดรเจน เกิดในกระบวนการผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรม น้ำมันไม่อิ่มตัวที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ขนมปังกรอบ อาหารทอด  โดนัท คุกกี้ บิสกิต ขนมกรุบกรอบ แครกเกอร์ ฯลฯ  จำเป็นต้องนำไปผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนเสียก่อน เพื่อให้น้ำมันไม่หืน แต่ให้แข็งตัวเพื่อสะดวกต่อการจับต้องผลิตภัณฑ์นั้น ๆ  เพราะน้ำมันที่แข็งตัวที่ติดอยู่กับอาหาร จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่เกิดจากการเหนียวเหนอะหนะของอาหาร
               2.2.  อาหารที่หุงต้มโดยใช้อุณหภูมิสูง น้ำมันไม่อิ่มตัวที่ใช้ในการหุงต้ม หากผ่านอุณหภูมิสูง เช่น ในการทอดอาหารแบบน้ำมันท่วม จะเกิดกระบวนการการเติมไฮโดรเจนเช่นกัน Bakker และคณะ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านมกับกรดไลโนเลอิก ในประชากรในทวีปยุโรป ทั้งนี้เพราะมีการศึกษาในสัตว์ทดลอง และทางนิเวศวิทยา ที่ได้ชี้ถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว กรดไลโนเลอิก เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันถัวเหลือง ผู้วิจัยได้พบว่า องค์ประกอบของกรดไขมันเฉลี่ยของชั้นไขมัน ไม่ได้แสดงความ สัมพันธ์ระหว่างกรดไลโนเลอิก ซึ่งมีโอเมกา-6 กับมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่างไรก็ตามมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ มีความสัมพันธ์กับไขมันทรานส์ Kohlmeier และคณะ ได้รายงานถึงข้อมูลที่แสดงว่า มีความสัมพันธ์ในทางบวกระหว่างองค์ประกอบของไขมันทรานส์ในชั้นไขมัน กับการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้
                    3.  ปลอดภัยจากอันตรายของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
                         3.1.  ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง นักวิจัยบางคนจึงเชื่อว่า เป็นเพราะกรดไขมันขนาดกลางของน้ำมันมะพร้าว ไปส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือ
               3.1.1.  การกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาว พบว่า     โมโนลอรินซึ่งเป็นโมโนกลีเซอไรด์ของ กรดลอริก ไปกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว   น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกอยู่ใน ปริมาณที่สูงมาก(ประมาณ 48% - 53%) และเมื่อบริโภคเข้าไปในร่างกาย กรดลอริกก็จะเปลี่ยนเป็นโมโนลอริน ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
               นอกจากนั้นน้ำมันมะพร้าวยัง มีกรดคาโปรอิก กรดคาปริลิก และกรดคาปริกอยู่ด้วย และเมื่อเข้าไปในร่างกายจะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไร ชนิดโมโนคาโปรอิน โมโนคาปริน โมโนคาปริลิน ตามลำดับ และต่างก็ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
               3.1.2  การแบ่งเบาภาระของเม็ดเลือดขาว หน้าที่อันหนึ่งของเม็ดเลือดขาวคือ การต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อมีเชื้อโรคเข้าไปมาก ๆ เม็ดเลือดขาวก็จะเข้าไปโจมตีเชื้อโรค และตายไป จึงเหลือเม็ดเลือดขาวที่มีประสิทธิภาพน้อย หรือร่างกายผลิตทดแทนได้ไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เซลล์มะเร็งจึงเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้เพิ่มมากขึ้น แต่น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้ จึงช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติ
                         3.2  ฆ่าเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งโดยตรง
               3.2.1  เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะร็งต่อมน้ำเหลืองเบอรกิต มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด และมะเร็งเต้านม
               3.2.2  เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร  
                         3.3  ฆ่าเชื้อโรคที่สร้างสารก่อมะเร็ง เชื้อจุลินทรีย์หลายประเภทบางครั้งก็สร้างสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น สารแอฟลาทอกซิน ซึ่งสร้างโดยเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับ
                    4.  ชะงักการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
                         4.1  เปลี่ยนแปลงการทำงานของโปรตีนเซลล์มะเร็ง
                         4.2  กระตุ้นการทำงานของต่อมธัยรอยด์ ทำให้มีการเผาผลาญให้อาหารเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน หรือ metabolism ในอัตราที่เร็วขึ้น 

                     จากเรื่องราวดังกล่าวข้างต้น ก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเป็นน้ำมันบริโภคที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดในบรรดาน้ำมันบริโภคทั้งหลาย แถมยังสามารถป้องกันและรักษาโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ อีกมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณ

ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา

ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย

 

 

 

มะพร้าว ตอน การชะลอความชราด้วยน้ำมันมะพร้าว


http://www.toptenthailand.com/2013/img/img_topten/img_icon/1362375046.jpg

 การชะลอความชราด้วยน้ำมันมะพร้าว
 ความชรา เป็นกฏเกณฑ์ของ ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนจะต้องประสบ มนุษย์ทุกคนต่างก็ต้องมีการรักษาความเยาว์วัย ซึ่งเป็นวัยที่มีความสวยงาม กระชุ่มกระชวยและแข็งแรงมากที่สุด ให้อยู่กับตัวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรจึงจะเป็นหนุ่มสาวได้นานที่สุด นอกจากความงาม ความหล่อที่ลดลงแล้ว เมื่อถึงวัยชรา สุขภาพก็ จะเสื่อมโทรมลงไปตามอายุที่มากขึ้น การที่จะเข้าสู่วัยชราอย่างสง่างาม จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตเสียใหม่ตั้งแต่บัดนี้ น้ำมันมะพร้าวเป็นสิ่งหนึ่งจะช่วยให้ท่านชะลอความชราได้อย่างง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก ประหยัด ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ได้ผลดีที่สุด


                    มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายว่าทำไมคนเราถึงแก่ เช่น
                    1.  ความสึกหรอของร่างกาย(Wear and Tear Theory)
                   ความชรา คือ การเปลี่ยนแปลงที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้าในสิ่งมีชีวิต ว่าจะมีอายุขัยสูงสุดเท่่าใรและการเสื่อมถอยการทำงานของแต่ละอวัยวะ จะเริ่มเมื่อไหร่
                    2.  ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง(Autoimmune Theory)
                    ความชรา เป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติ จำเซลล์ของตัวเองไม่ได้ จึงไปสร้างแอนตีบอดีทำลายเซลล์ของตัวเอง ส่งผลให้ร่างกายเกิดความชรา
                    3.  การเกิดการยึดโยง(Cross-linkage Theory)
                    ในภาวะปกติ การสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน จะมีการยึดโยงของคอลลาเจน โดยมีวิตามินซี เป็นตัวช่วยให้เกิดการประสานให้แน่นหนาขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้น การยึดโยงกันของคอลลาเจนจะลดลง ทำให้ผิวที่เคยแต่งตึง เริ่มมีรอยเหี่ยวย่น
                    4.  การถึงอายุขัยของเซลล์(Cellular Aging Theory)
                    เนื่องจากเซลล์แบ่งตัวช้าลง แต่ละเซลล์มีระดับดีเอ็นเอลดลง เป็นผลให้การสร้างอาร์เอ็นเอลดลง ทำให้การสร้างเอนไซม์ที่ช่วยในการทำงานของร่างกายลดลง จนเซลล์ตายไปในที่สุด หรือเมื่อเซลล์แบ่งตัวไปหลาย ๆ รอบ โดยในแต่ละรอบ จะทำให้ปลายโครโมโซมสั้นลง จนในที่สุดเซลล์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เนื่องจากโครโมโซม ซึ่งเป็นที่เก็บสารพันธุกรรมอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ เซลล์จึงแสดงความเสื่อม และตายในที่สุด
                    5.  การเกิดอนุมูลอิสระ(Free Radical Theory)
                    ความชรา เกิดจากอนุมูลอิสระ เพราะเมื่อเซลล์ได้รับอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการเสียสภาพของสารประกอบต่าง ๆ ภายในเซลล์ รวมถึงการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ และยังทำให้การยึดโยงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเสียไป ตลอดจนเกิดการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติ จนทำให้เซลล์เสื่อมสภาพไป
                    การเกิดอนุมูลอิสระ นับเป็นทฤษฎีที่ได้รับการอ้างถึงมากที่สุด เพราะมีหลักฐานสนับสนุนมากมาย

                    วิธีที่จะทำให้เรามีอายุยืนยาว คือ
                    1.  การทำจิตใจให้เบิกบาน หรือไม่ให้เกิดความเครียด  การมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจเบิกบาน หัวเราะอย่างมีความสุขได้ทุกครั้ง และพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นอาวุธสำคัญที่จะทำให้ชะลอความชราได้เป็นอย่างดี
                    2.  รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์  การรับประทานอาหารจะเป็นตัวสะท้อนถึงการมีสุขภาพดีในภายภาคหน้า  เช่น  การรับประทานน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัว จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเกิดการเติมออกซิเจนตลอดเวลา เมื่อยังอยู่ในขวด เมื่อนำมาใช้ประกอบอาหาร และเมื่อเข้าร่างกาย เพราะมีอุณหภูมิที่เหมาะสม และมีออกซิเจนสมบูรณ์ จึงเกิดเป็นอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนั้น เมื่อใช้ทอดอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลที่เกิดขึ้นก็คือ น้ำมันเหล่านี้เต็มไปด้วยทรานส์แฟต และสารอาหารหลายอย่างที่เปลี่ยนสภาพโดยความร้อนแล้ว  ที่สามารถเร่งให้เซลล์และอวัยวะต่าง ๆ  ของร่างกายเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ ก็จะมีตัวเร่งความชราที่อาจมาจากพฤติกรรมการสูบบุหรี่จัด และดื่มสุราเป็นประจำ หรือการรับประทานของหมักดอง หรืออาหารที่มีการปนเปื้อนสารพิษ เป็นต้น
                    3.  อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากมลภาวะ  มลภาวะทั้งในน้ำ ในอากาศ และในดิน เป็นพิษต่อมนุษย์ ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม ร่างกายอ่อนแอ ปราศจากภูมิคุ้มกัน จึงเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย และแก่เร็วขึ้น จนถึงเสียชีวิตก่อนภัยอันควร
                    4.  กินยาอายุวัฒนะ  ในปัจจุบัน มีนักวิจัยจำนวนมากกำลังข่งขันกันที่พยายามผลิตยาอายุวัฒนะที่จะยืดอายุของ มนุษย์ให้เกิน 100 ปี ดังในกรณีดังต่อไปนี้
               -  การค้นพบสารพันธุกรรมของชนชาติที่มีอายุยืน  จากการศึกษาดีเอ็นเอของชาวยิวเยอรมัน และลูกหลานชาวยิวในยุโรปตะวันออก พบยีน 3 ตัวซึ่งมีส่วนในการยืดอายุออกไป และช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ในจำนวนยีนนี้ มียีน 2 ตัวที่ทำหน้าที่ช่วยผลิต "ไขมันดี" ซึ่งป้องกันโรคหัวใจ และอัมฤกษ์ - อัมพาต ส่วนตัวที่ 3 ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
               -  บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ  นอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ - อัมพาต และโรคเบาหวานแล้ว  น้ำมันมะพร้าวยังป้องกันโรคมะเร็ง โรคไขข้อ และโรคที่ไม่ติดเชื้ออื่น ๆ อีกมาก อีกทั้งยังป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ  ทั้งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส และโปรโตซัวอีกด้วย นอกจากการบริโภคเข้าไปในร่างกายแล้ว เรายังใช้น้ำมันมะพร้าวชะโลมตัว ตั้งแต่ใบหน้า แขน ขา ลำตัว ตลดจนศีรษะ โดยการนวดเส้นผมและหนังศีรษะ หรืออีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ส่งผลให้ผู้ใช้มีอายุยืน คล้ายกับการใช้อายุวัฒนะ

                    น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทอย่างมากในการชะลอความชราดังนี้
                    1.  ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
                    แอนตีออกซิแดนต์ เป็นกลไกในธรรมชาติที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เกิดเพราะอิเล็กตรอนในวงแหวนรอบนอกของโมเลกุลของเซลล์สูญหายไป จึงไปดึงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างเคียง ซึ่งก็ไปดึงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างเคียงต่อ ๆ ไป จึงเกิดปฎิกิริยาลูกโซ่ ทำให้ไขมันที่เยื่อบุเซลล์เสื่อมสภาพ ฉีกขาด สารพิษและเชื้อโรคจึงเข้าไปในเซลล์ได้ และไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดหรือขับออก ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของสารประกอบต่าง ๆ ภายในเซลล์และเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ปริมาณแอนตีออกซิแดนต์ในร่างกายของเรา ขึ้นอยู่กับโภชนาที่เราบริโภคเข้าไป อย่างไรก็ตาม เราอาจใส่แอนตีออกซิแดนต์เข้าไปในร่างกาย โดยการทาที่ผิวหนังเพื่อที่จะลดรอยเหี่ยวย่น และในขณะที่ผิวหนังของเรากำลังจะเกิดรอยเหี่ยวย่นนั้น ภายในร่างกายของเราก็ประสบกับอนุมูลอิสระไปพร้อม ๆ กัน และนี่เอง ที่ทำให้สภาพภายในร่างกายแก่ลงด้วย การใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ จะช่วยชะลอความชราทำให้เราดูอ่อนวัย และรู้สึกกระปรี้กระเปร่า น้ำมันมะพร้าวเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จะช่วยรักษาสภาพต่าง ๆ  ที่เกิดจากความชราได้ ดังในกรณีดังต่อไปนี้
               1.1  ป้องกันรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง  เมื่อเรามีอายุมากขึ้น เยื่อใยยึด จะถูกอนุมูลอิสระทำลาย จะแข็งตัวและการยึดโยงน้อยลง สูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรงไป ผิวหนังก็จะเสียความสามารถในการยึดติดกัน ทำให้หย่อนยานและเกิดเป็นรอยเหี่ยวย่น การขับไขมันและความชื้นสู่ผิวหนังก็น้อยลง ผิวหนังที่เคยอ่อนนุ่ม ก็เปลี่ยนเป็นแห้งผาก
               น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์อย่างมากในการต่อสู้กับ อนุมูลอิสระ เพราะมีสารแอนตีออกซิแดนต์อยู่อย่างบริบูรณ์ ยังช่วยเพิ่มไขมันบนผิวหนัง ปกป้องความชื้นของผิวไว้ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนียนนุ่ม ดูสดใส
               1.2  ป้องกันการเกิดกระและรอยช้ำของผิวหนัง  เมื่อมีอายุมากขึ้น และถูกกับแสง UV ผิวจะเกิดกระ เป็นจุดดำและรอยคล้ำ เนื่องจากแสง UV และอนุมูลอิสระที่เกิดจาก UV กระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้สร้างเม็ดสีเมลานิน เป็นกระจุก ๆ  เกิดเป็นกระ จุดดำ รอยคล้ำ เมื่อชโลมน้ำมันมะพร้าว ๆ  จะเคลือบและซึมเข้าไปใต้ผิวอย่างรวดเร็ว จึงเข้าไปถึงเซลล์เม็ดสีไปลดการสร้างอนุมูลอิสระเมื่อถูกแสง UV ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเมลานิน
               1.3  ป้องกันไม่ให้ผิวหนังแห้ง กระด้าง เป็นเกล็ด และคัน อาการอีกอันหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ คือ โรคผิวหนังแห้ง มีอาการผิวหนังแห้ง กระด้าง เป็นเกล็ด และคัน  โดยปกติเราจะใช้สารให้ความชุ่มชื้นรักษาอาการดังกล่าว แต่สารเหล่านี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารน้ำมันไม่อิ่มตัวและน้ำ ซึ่งช่วยให้เนื้อเยื่อเต่งตึงขึ้นได้ แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะเมื่อน้ำมันระเหยออกหมดแล้ว เนื้อเยื่อก็กลับมีรอยเหี่ยวย่นดังเดิม หรือมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
               เนื่องจากโรคมะเร็งผิวหนังแห้งนี้ส่วนหนึ่ง เกิดจากการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อเรื้อรัง การมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรคของน้ำมันมะพร้าว ทำให้เกิดผลดีกว่าที่จะใช้สารเพิ่มความชุ่มชื้นใช้กันมาแต่เดิม จากการทดลองพบว่า การใช้น้ำมันเพื่อรักษาโรคผิวหนังแห้ง ปรากฏว่า น้ำมันมะพร้าวรักษาได้ดีกว่าน้ำมันแร่ที่นิยมใช้ในการรักษาโรคนี้ อีกทั้งยังไม่เกิดผลเสียใด ๆ  จากการใช้น้ำมันมะพร้าวแต่อย่างใด
                    2.  ป้องกันผมหงอก
                    สีของเส้นผม เกิดเซลล์เม็ดสี ที่ผลิตเป็นเม็ดสีเมลานินได้สองโทนสี คือสีเหลืองปนแดง และน้ำตาลปนดำ เข้าไปสะสมในเนื้อเส้นผมที่เป็นโปรตีน Keratin ความแตกต่างในสีผมขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ และพันธุกรรม ที่ทำให้มีการผลิตเม็ดสีออกมาในสัดส่วนต่าง ๆ กัน เมื่ออายุมากขึ้น รากผมจะค่อย ๆ เสื่อมลง ทำให้ผมร่วงง่ายเส้นบางลง พร้อมกับการที่เซลล์เม็ดสีผลิตเม็ดสีได้น้อยลงเรื่อย ๆ  จนไม่ได้เลย เพราะตายไปหมด ทำให้ผมเป็นสีขาว หรือที่เรียกกันว่า "ผมหงอก" แต่ในบางคนผมอาจจะหงอกก่อนวัย ซึ่งอาจเป็นเพราะ (1)กรรมพัมธุ์ เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมากจากบรรพบุรุษ (2)อนุมุลอิสระ ที่เข้าสู่ร่างกายทำให้เซลล์ทั้งร่างกาย รวมั้งเซลล์เม็ดสีแก่หรือตายเร็วขึ้น
                    น้ำมันมะพร้าวช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถ ยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผม จึงช่วยเสริมความแข็งแรงโดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก จึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก
                    นอกจากนั้น น้ำมันมะพร้าวยังช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะ เพราะน้ำมันมะพร้าวมี ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโรค เช่น เชื้อรา จึลดการเกิดรังแค ผมร่วง และรักษาความชื้น สร้างความเนียนนุ่มให้แก่หนังศีรษะ เช่นเดียวกับผิวหนังบริเวณอื่น นอกจากนั้น สารแอนตีออกซิแดนต์ ยังทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำอันตรายต่อหนังศีรษะ ดังนั้น หนังศีรษะจึงไม่รอยเหี่ยวย่น แต่มีสุขภาพดี เป็นผลทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้ดี ดกดำเป็นเงางาม และไม่หงอก
                    3.  ช่วยป้องกันโรค
                    ผู้สูงอายุมีโอกาสเป็นโรคได้มากและง่ายกว่า เพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนล้า ขาดการออกกำลังกาย การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ(แต่ต้องเลิกบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัวด้วย) จะช่วยแก้สถานการณ์ดังกล่าวได้ เช่น ปลอดจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความอ้วน ไข้หวัด อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคอื่น ๆ ด้วยการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก นอกจากนั้น ยังช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเพศ อันเป็นการลดอันตรายจากการเกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก และลูกหมากโต    
                    4.  ช่วยสร้างธันรอยด์ฮอร์โมน
                    น้ำมันมะพร้าวกระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์สร้างธัยรอยด์ฮอร์โมน หากมีปริมาณในระดับปกติ จะช่วยให้ LDL เปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนต่อต้านความชรา เช่น DHEA  และเทสโตสเตอโรน อย่างไรก็ตาม หากระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำเกินไปคอเลสเตอรอลจะไปสะสมที่ผนังของหลอดเลือด หัวใจ และก่อให้เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือด เนื่องจากต่อมธัยรอยด์ทำงานเฉื่อยลง เมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้น การใช้น้ำมันมะพร้าวจะช่วยรักษาระดับการทำงานของต่อมธัยรอยด์ให้เป็นปกติ
                    5.  ช่วยให้อายุยืนจากการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก
                    ซึ่งเป็นการดึงเอาเชื้อโรคที่อยู่ในปาก และสารพิษที่มันสร้างขึ้นออกจากร่างกายแทนที่จะกลืนเข้าไปในร่างกาย และไปก่อให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย โดยปกติ น้ำลายในปากจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แต่ก็มีเชื้อจำนวนหนึ่งที่ยังเจิญเติบโตอยู่ได้ แต่ในขณะที่เราหลับ ร่างกายสร้างและเคลื่อนไหวน้ำลายน้อย ทำให้เชื้อจุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโต และขยายพันธุ์มากขึ้นเป็นจำนวนถึง 6,000 ล้านตัวในเวลา 8 ชั่วโมง ที่เราหลับเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้ บางตัวก็เป็นสาเหตุของโรค บางตัวก็ไม่เป็น ซ้ำบางตัวยังเป็นประโยชน์ ช่วยทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรค เมื่อมันอยู่ในปากของเรา แต่เมื่อเข้าไปในร่างกาย จุลินทรีย์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค อาจก่อให้เกิดโรคได้ในร่างกาย เพราะมีสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากในช่องปาก
                     การกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าว ได้รับการยืนยันว่า สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของมนุษย์ ช่วยรักษาสุขภาพปากและฟัน และเชื่อว่าช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวเป็นสองเท่าของปกติ
                    6.  ป้องกันการเกิดการเติมออกซิเจนของไขมัน
                    มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงว่า อุบัติการณ์ของความชรา โดยเฉพาะความชราของ มันสมองเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับปรากฏการณ์การเติมออกซิเจนของไขมันหรือที่ เรียกว่า peroxidation งานวิจัยชิ้นแรก พบว่า การลดอัตราส่วนของน้ำมันไม่อิ่มตัว ต่อน้ำมันอิ่มตัวในอาหาร(และรวมทั้งในเนื้อเยื่อด้วย) มีบทบาทต่อความชรา 
                    เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการศึกษาจำนวนมากที่แสดงว่า แสง UV สามารถทำให้เกิดการเติมออกซิเจนในไขมันไม่อิ่มตัว แต่ไม่เกิดในไขมันอิ่มตัว ซึ่งเกิดขึ้นทั้งที่ผิวหนัง และในห้องปฏิบัติการในการทดลองกับกระต่ายรวมทั้งกับมนุษย์ด้วย นักวิจัยได้แสดงว่า ปริมาณของน้ำมันไม่อิ่มตัวในอาหาร มีอิทธิพลต่ออัตราการเกิดความชรา ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง ไขมันไม่อิ่มตัวที่ผิวหนัง เป็นตัวการของการเกิดความชรา และมีผลในการเกิดโรคมะเร็งที่ก่อขึ้นโดยแสงUV แต่ไม่ใช่สาเหตุอันเดียว

                    วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อชะลอความชรา
                    1.  วิธีบริโภคน้ำมันมะพร้าว  ซึ่งการบริโภคน้ำมันมะพร้าว เป็นการช่วยให้เรามีความงามจากภายใน เราสามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้ 3 ทาง คือ
               1.1  บริโภคน้ำมันล้วน ๆ  ได้แก่ การนำน้ำมันมะพร้าวเข้า ปาก โดยใช้ช้อน หรือดื่มจากภาชนะ การใช้ช้อน จะช่วยให้กะปริมาณได้ใกล้เคียงกับที่ต้องการ ในขณะที่ดื่มจากภาชนะ สะดวก แต่กะปริมาณไม่ได้ดี
               1.2  ผสมลงในอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ  น้ำมันมะพร้าวสามารถ เข้ากันได้กับอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น ซุป โจ๊ก แกงจืด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โอวัลติน ฯลฯ  โดยไม่ได้ทำให้อาหารและเครื่องดื่มเหล่านั้น เปลี่ยนรสชาติ หรือสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และความอร่อยไป แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบุคคล โดยเฉพาะความเคยชิน เพราะใหม่ ๆ  อาจรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่นาน ๆ เข้าก็จะหายไป
               1.3  ปรุงไปในอาหาร เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าว ปรุงอาหารได้ โดยเฉพาะในการทอด และผัด หรือแม้แต่เป็นตัวทำให้อาหารไม่ติดกระทะหรือภาชนะ เช่น ในการเจียวไข่ ทำปิซซ่า
                    2.  วิธีชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว  เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด และได้ประโยชน์มากที่สุด ทำได้โดยการเทน้ำมันมะพร้าวใส่ฝามือประมาณ 1 ช้อนชา และชโลมลงบนตัว ตั้งแต่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา ไม่จำเป็นต้องใช้มาก โดยจะสังเกตได้ว่า น้ำมันมะพร้าวจะ ซึมเข้าไปในผิวหนังอย่างรวดเร็ว และไม่รู้สึกเหนอะหนะ แต่หากใช้มากเกินไป น้ำมันส่วนเกินจะติดอยู่ที่ผิวหนัง  ไม่ซึมเข้าไปข้างใน หลังจากชโลมน้ำมันมะพร้าวที่ตัวแล้ว ไม่ช้า ก็สามารถสวมเสื้อผ้าได้ โดยไม่ติดน้ำมันมะพร้าวควรชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวก่อนออกไปกลางแจ้ง หรือก่อนลงว่ายน้ำ หรืออาบแดด
                    สำหรับใบหน้า น้ำมันมะพร้าวสามารถบำรุงผิวหน้า ปรับสภาพผิวให้นุ่มนวล เต่งตึง และมีสุขภาพดี ลดการเกิด สิว ฝ้า และอื่น ๆ และการสะสมสารเคมีจากเครื่องสำอางค์ ซึ่งทำได้โดยการใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าว เช็ดใบหน้า และทานวดผิวหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าวหลังอาบน้ำ และก่อนเข้านอน
                    หากมีอาการผื่น และคันตามผิวหนัง รวมทั้งที่ง่ามเท้า ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นผื่นคัน หากมีสภาพผิวหยาบกร้าน กระด้าง หรือส้นเท้าแตก ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาและนวดบริเวณนั้นก่อนนอน
                    3.  วิธีชโลมหนังศรีษะและเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าว
                    -  การนวดผม เทน้ำมันมะพร้าวลงบนฝ่ามือประมาณ 1 ช้อนชา แล้วใช้มือละเลงน้ำมันมะพร้าวลงบนศรีษะ นวดคลึงหนังศรีษะ และเส้นผม
                    -  การหมักผม  หลังจากชโลมเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าวแล้ว ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นโพกศีรษะ ไว้ 30 นาที ก่อนสระผม หรือจะใช้หมวกอาบน้ำคลุมไว้แล้วเข้านอน และสระผมในวันรุ่งขึ้นก็ได้ และจะได้ผลดีกว่า
                    3.  วิธีกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก
                     หลังตื่นนอน ขณะที่ช่วงท้องว่าง และก่อนรับประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนชา ใส่เข้าปาก อย่าใส่มากกว่านั้น เพราะจะไม่มีที่ว่างในช่องปากให้น้ำลายออกมาช่วยทำหน้าที่ ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย ๆ  จะช่วยกระตุ้นให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด
                     อย่ากลืนลงคอ แต่ถ้าเผลอกลืนลงไป ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงใด ๆ  เพียงแต่ท่านอาจจะกลืนสารพิษเข้าไปในท้องบ้างเล็กน้อย ส่วนพวกเชื้อโรคนั้น ได้ถูกฆ่าตายหมดแล้วด้วยน้ำมันมะพร้าว และทั้งเชื้อโรคที่ตายแล้ว และสารพิษ ก็จะถูกร่างกายขับออกมาทางอุจจาระเอง
                     จากนั้น จึงกลั้วกลอกน้ำมันในปาก โดยค่อย ๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด ดึง ดัน(หรือ กลั้ว กลอก กลิ้ง ก็ได้) น้ำมันให้ผ่านไปมาให้ทั่วปาก โดยใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที
                     เมื่อเราเคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากซักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันมะพร้าวนั้น เบาบางลง ไม่หนืด มีลักษณะคล้ายน้ำ สีขาวขุ่น มีฟองอากาศปะปนอยู่ แต่ถ้ายังมีสีขาวใสอยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ หรือท่านไม่ได้กลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปากของท่าน เพียงแต่อมไว้เฉย ๆ  ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด
                    ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันมะพร้าวที่อมอยู่ในปากออกทิ้ง ซึ่งเป็นตอนสำคัญอันหนึ่ง มีข้อแนะนำคือ
                    -  บ้วนลงในกระโถน หรือกระป๋อง แล้วนำไปเททิ้ง (อาจใจกระป๋องที่บรรจุผลไม้ที่ใช้หมดแล้ว รองกระป๋องด้วยถุงพลาสติก เพื่อจะได้ไม่ต้องล้างกระป๋อง แล้วเวลาเทลงถังขยะ ก็ไม่เลอะเทอะ โดยใช้ยางรัดปากถุงก่อนทิ้งลงถังขยะ)
                    -  อย่าบ้วนลงอ่างล้างหน้า หรืออ่่างล้างชาม เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้น มีแบคทีเรีย สารพิษ และของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ และอาจทำให้ท่อน้ำทิ้งตันได้
                    -  อย่าไปเทลงกระถางปลูกต้นไม้ หรือที่ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ เพราะอาจทำให้ต้นไม้ตายได้
                    -  แล้วแปรงฟัน ให้น้ำล้างปาก หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้
                    การทำการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก จึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด แต่ถ้าจะเร่งการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำการกลั้วกลอกวันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น และตอนท้องว่าง

                    วันเวลาที่ผ่านไป เป็นสัจธรรม เพราะไม่มีใครสามารถหยุดเวลาได้ หากเราจะคิดว่าความชรา คือ การมีอายุมากขึ้น ตามเวลาของนาฬิกา หรือ ปีปฏิทิน ทุกคน ก็จะต้องแก่เข้าสักวันหนึ่ง แต่หากได้พิจารณาถึงความสามารถในการดำรงชีวิตของแต่ละบุคคล ได้แก่ สมรรถภาพทางกาย เช่น รูปลักษณ์ภายนอก รวมทั้งสมรรถภาพทางจิตใจ และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่า เราสามารถชะลอสิ่งเหล่านี้ให้เสื่อมลงช้าที่สุดได้ โดยการพยายามศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ การใช้ชีวิตประจำวันที่เหมาะสม  โภชนาการที่ดี การออกกำลังกาย และการรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ
                    น้ำมันมะพร้าวเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะต่อผู้สูงวัย โดยการป้องกัน รักษาสภาวะที่เกี่ยวกับอายุ โดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ ทำให้ผู้สูงอายุ มีสุขภาพดี และมีความสุข ผู้สูงอายุจึงควรใช้เป็นประจำ

ขอบคุณข้อมูลจาก
เอกสารวิชาการฉบับที่ 3/2553
การชะลอชราภาพด้วยน้ำมันมะพร้าว
โดย  ดร. ณรงค์  โฉมเฉลา  

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ควันบุหรี่มือสอง ภัยจากบุหรี่ที่เราไม่ได้สูบ

มะเร็ง แท้ง พัฒนาการช้า มหันตภัยที่มากับควัน
 

  คุณ รู้หรือไม่ว่า.....บุหรี่.....เป็นสาเหตุสำคัญอันดับสองของการเสียชีวิตทั่ว โลก ปัจจุบันพบคนสูบบุหรี่ทั่วโลกเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ประมาณ 650 ล้านคน แต่ที่น่าตกใจมากกว่า คือ ในแต่ละปีมีคนไม่สูบบุหรี่หลายแสนคนต้องเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากการได้ รับควันบุหรี่มือสอง

            โดยควันบุหรี่ในบรรยากาศ  หรือ ควันบุหรี่มือสอง เกิดขึ้นจาก 2 แหล่ง คือ ควันบุหรี่ที่ผู้สูบบุหรี่พ่นออกมา และควันบุหรี่ที่ลอยจากตอนปลายมวนบุหรี่  และทันทีที่บุหรี่ถูกจุดขึ้น การเผาไหม้ของมวนบุหรี่จะทำให้เกิดสารเคมีกว่า 4,000 ชนิด  เป็นสารพิษมากกว่า 250 ชนิด และกว่า 50 ชนิด ที่เป็นสารพิษที่วงการแพทย์ระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็ง

            สารพิษที่พบในควันบุหรี่ ล้วนส่งผลต่อร่างกายอย่างร้ายแรง

            นิโคติน มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ไม่มีสี เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติดและทำให้เกิดโรคหัวใจ

            ทาร์ ประกอบด้วยสารหลายชนิด เป็นละอองเหลว เหนียว สีน้ำตาลคล้ายน้ำมันดิน สารก่อมะเร็งส่วนใหญ่จะอยู่ในสารทาร์นี้

            คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซชนิดเดียวกับที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ ก๊าซนี้จะขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง

            ไฮโดรเจนไซยาไนด์ เป็นก๊าซที่ทำลายเยื่อบุหลอดลม และถุงลม ทำให้เกิดอาการไอ มีเสมหะ และหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

            ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่ทำลายเยื่อบุหลอดลม และถุงลม ทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง

            แอมโมเนีย มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้แสบตา แสบจมูก หลอดลมอักเสบ

            ไซยาไนด์ เป็นสารพิษที่ใช้เป็นยาเบื่อหนู

            สารกัมมันตภาพรังสีโพโลเนียม 210 เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง

            ฟอร์มาร์ลดีไฮด์ เป็นสารที่ใช้ในการดองศพ

            ผลของควันบุหรี่มือสองต่อสุขภาพของผู้ที่ได้รับควันบุหรี่

            ผู้ใหญ่ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองใน บ้าน หรือที่ทำงาน วันละ 3ชั่วโมงขึ้นไป จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 25-30 เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 จะมีอัตราการเป็นโรคมะเร็งที่ลำคอมากกว่าผู้ไม่ได้รับควันบุหรี่ 3 เท่า และเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอื่น ๆ มากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า โดยควันบุหรี่มือสองก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเลือดหัวใจทันทีที่ได้รับควัน บุหรี่มือสอง

            หญิงมีครรภ์และทารกที่ได้รับควันบุหรี่มืออย่างต่อเนื่อง จะ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้ โดยอาจมีอาการครรภ์เป็นพิษ แท้ง คลอดก่อนกำหนด และเกิดอาการไหลตายในเด็กสูงขึ้น

            เด็กเล็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบและปลอดบวม สูงกว่าเด็กทั่วไป มีอัตราการเกิดโรคหืดเพิ่มขึ้น เกิดการติดเชื้อของหูส่วนกลาง ในระยะยาว เด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสองจะมีพัฒนาการของปอดน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้รับ ควันบุหรี่

            สถาบัน พิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา และศูนย์วิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ พิสูจน์แล้วว่า ควันบุหรี่มือสองเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เมื่อคนไม่สูบบุหรี่ได้รับควันบุหรี่มือสอง เขาได้สูดดมสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกายเช่นเดียวกับคนสูบบุหรี่ และไม่มีระดับที่ปลอดภัยจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง แม้จะได้รับเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็เป็นอันตรายได้

            แต่ โดยเฉลี่ยแล้วเด็ก ๆ จะได้รับควันบุหรี่มือสองมากกว่าผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ ดังนั้น วิธีเดียวที่จะปกป้องครอบครัวของคุณจากควันบุหรี่มือสองได้ คือ การเลิกสูบบุหรี่

            มา ร่วมกันทำให้สถานที่สาธารณะ ที่ทำงาน พาหนะเดินทางและบ้าน ปลอดจากควันบุหรี่ เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ และมีสิทธิที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของควันบุหรี่มือสองจากคนสูบบุหรี่




ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มะพร้าว ตอน สุขภาพดีได้ด้วยน้ำมันมะพร้าวกลั้วกลอกในปาก(oil pulling)

สุขภาพดีได้ด้วยน้ำมันมะพร้าวกลั้วกลอกในปาก(oil pulling)

ออยล์พูลลิ่ง เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์ พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F.., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง D


    ผลลัพธ์ ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด 
         ต่อมานายราว ซึ่งเป็นนายทหารที่เกษียณอายุแล้ว อาศัยอยู่ในเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ได้รับแผ่นพับเกี่ยวกับการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด นายราวและภรรยาของเขา จึงได้เริ่มปฏิบัติการ ใช้น้ำมันพืชกลั้วกลอกปาก จนสามารถรักษาอาการจามเพราะแพ้อากาศ โรคหวัดที่เป็นในตอนเช้า และเวลากลางคืนมาเป็นเวลา 40 ปี โรคหืด นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร ปัญหาการย่อยอาหาร ส่วนภรรยาที่ขณะนั้นอายุ 56 ปี ก็หายจากโรคปวดศรีษะไมเกรนที่เป็นมา 30 ปี โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง และโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งคู่เคยหมดหวังที่จะรักษาโรคเหล่านั้น เพราะการรักษาสารพัด ก็เป็นเพียงแต่ช่วยให้ทุเลาขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อได้ใช้น้ำมันพืชกลั้วกลอกในปาก อาการต่าง ๆก็หายไปในเวลาเพียงปีกว่า ๆ โดยไม่ได้ใช้ยาแต่อย่างใด
                    ด้วยความรู้สึกประทับใจในพลังการรักษาโรคของ วิธีกลั้วกลอกน้ำมันพืชในปาก นายราวจึงเริ่มบอกคนอื่นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและภรรยา จากนั้น ก็เริ่มส่งเสริมการใช้น้ำมันพืชกลั้วกลอกปากเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เขาเริ่มมีความรู้สึกว่า สมควรที่จะแนะนำให้คนอื่น ๆ ได้รู้ถึงวิธีดังกล่าว เขาเริ่มแจกแผ่นพับและโชคดีที่หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งได้รับแผ่นพับ นี้  ทำให้บางคนในกองบรรณาธิการทดลองใช้ และได้ผล จึงได้ตีพิมพ์เรื่องราวของการกลั้วกลอกฯ  ต่อมานายราวได้เขียนบทความเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการกลั้วกลอกน้ำมันพืช และได้บรรยายในที่ต่าง ๆ  ได้เล่าถึงประสบการณ์การใช้น้ำมันพืชกลั้วกลอกในปากเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ นานัปการที่รักษาไม่ได้ด้วยการใช้การแพทย์แผนปัจจุบัน
                    อย่างไรก็ตาม การไม่มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการกลั้วกลอกน้ำมันในปาก ก็ไม่ได้หมายความว่า วิธีการนี้ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมันเป็นวิธีที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง และได้รับการพิสูจน์โดยการใช้จริงๆ มาเป็นเวลากว่า 2000 ปี โดยไม่มีใครตาย หรือป่วยไข้จากการกระทำดังกล่าว เพราะผู้ปฏิบัติไม่ได้กลืนน้ำมันเข้าไปในท้อง การกลั้วกลอกน้ำมันในปาก จึงเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และปฏิบัติได้ง่ายที่สุดในบรรดาการรักษาทั้งหลายที่มีอยู่ แต่กลับเป็นวิธีที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
                    ดร.ไฟฟ์ ผู้อำนวยการวิจัย ศูนย์วิจัยมะพร้าวที่เมืองโคโลราโดสปริงส์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักโภชนาการ และแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันมะพร้าวระดับโลก ท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ที่มีความสงสัยในรายงานการใช้น้ำมันพืชกลั้วกลอกปาก ท่านได้เริ่มศึกษาถึงวิธีการของ ดร.การาจ อย่างจริงจัง และท่านได้เรียบเรียงเป็นหนังสือ ชื่อ oil pulling therapy สิ่งสำคัญอันหนึ่งที่ท่านได้ปรับปรุงก็คือ การเปลี่ยนจากน้ำมันดอกทานตะวันไปเป็นน้ำมันมะพร้าว ซึ่งให้ผลดีกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน ได้แก่ไม่เกิดอนุมูลอิสระ และเคลื่อนที่ได้เร็ว นอกจากนั้น น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ และมะเร็ง ช่วย เพิ่มภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย และยังช่วยปรับสมดุลระดับฮอร์โมน แต่ที่นับว่าเด่นที่สุดก็คือ การมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค โดยไม่เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ และไม่เกิดการดื้อยา
         
     Dr. Bruce Fife N.D. นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่มรวมทั้ง Coconut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พูลลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr. Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พูลลิ่งเป็นการรักษาของแพทย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr. Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้ เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พูลลิ่งของ Dr. Karach อย่างจริงจังรวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อยๆชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr. Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้

      ในปากของ เราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุนหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทาน กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่ เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม
- โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก
อาจฟังดู เหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิด รวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรืออาหารที่มีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำใส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่ และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิดตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ
- ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร?
ออยล์พู ลลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุดแต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการ รักษาทางธรรมชาติด้วยเช่นกัน สำหรับหลายๆคนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆปาก ไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พูลลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้ หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู
ออยล์พู ลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคร้ายหรือปล่อยสารพิษแก่ร่างกายนั้น แต่ละเซลล์ของมันจะปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็น เรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง
เมื่อคุณ ใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน
เศษอาหาร ที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย
เมื่อ แบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด
- น้ำมันชนิดใดเหมาะจะใช้ทำออยล์พูลลิ่ง?
ตาม ตำราโบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวันหรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr. Fife กล่าวว่า น้ำมันชนิดใดก็สามารถใช้ทำออยล์พูลลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากต้องการใช้น้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดใดๆ (กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเมื่อถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมโนกลีเซ อไรด์ชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค) เหตุผลอีกประการหนึ่ง ชอบที่น้ำมันมะพร้าวมีรสชาตินุ่มนวล น้ำมันบริสุทธิ์ชนิดอื่นๆเช่นน้ำมันมะกอกและน้ำมันงามีกลิ่นรสรุนแรง น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ได้รับการผลิตอย่างมีคุณภาพจะ มีความสะอาดถูกอนามัย แถมยังมีกลิ่นและรสชาติน่าพอใจอีกด้วย
 


วิธีกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก
                     หลังตื่นนอน ขณะที่ช่วงท้องว่าง และก่อนรับประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนชา ใส่เข้าปาก อย่าใส่มากกว่านั้น เพราะจะไม่มีที่ว่างในช่องปากให้น้ำลายออกมาช่วยทำหน้าที่ ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย ๆ  จะช่วยกระตุ้นให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด

                     อย่ากลืนลงคอ แต่ถ้าเผลอกลืนลงไป ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงใด ๆ  เพียงแต่ท่านอาจจะกลืนสารพิษเข้าไปในท้องบ้างเล็กน้อย ส่วนพวกเชื้อโรคนั้น ได้ถูกฆ่าตายหมดแล้วด้วยน้ำมันมะพร้าว และทั้งเชื้อโรคที่ตายแล้ว และสารพิษ ก็จะถูกร่างกายขับออกมาทางอุจจาระเอง

                     จากนั้น จึงกลั้วกลอกน้ำมันในปาก โดยค่อย ๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด ดึง ดัน(หรือ กลั้ว กลอก กลิ้ง ก็ได้) น้ำมันให้ผ่านไปมาให้ทั่วปาก โดยใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที
                     เมื่อเราเคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากซักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันมะพร้าวนั้น เบาบางลง ไม่หนืด มีลักษณะคล้ายน้ำ สีขาวขุ่น มีฟองอากาศปะปนอยู่ แต่ถ้ายังมีสีขาวใสอยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ หรือท่านไม่ได้กลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปากของท่าน เพียงแต่อมไว้เฉย ๆ  ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด

                    ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันมะพร้าวที่อมอยู่ในปากออกทิ้ง ซึ่งเป็นตอนสำคัญอันหนึ่ง มีข้อแนะนำคือ
                    -  บ้วนลงในกระโถน หรือกระป๋อง แล้วนำไปเททิ้ง (อาจใจกระป๋องที่บรรจุผลไม้ที่ใช้หมดแล้ว รองกระป๋องด้วยถุงพลาสติก เพื่อจะได้ไม่ต้องล้างกระป๋อง แล้วเวลาเทลงถังขยะ ก็ไม่เลอะเทอะ โดยใช้ยางรัดปากถุงก่อนทิ้งลงถังขยะ)
                    -  อย่าบ้วนลงอ่างล้างหน้า หรืออ่่างล้างชาม เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้น มีแบคทีเรีย สารพิษ และของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ และอาจทำให้ท่อน้ำทิ้งตันได้
                    -  อย่าไปเทลงกระถางปลูกต้นไม้ หรือที่ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ เพราะอาจทำให้ต้นไม้ตายได้
                    -  แล้วแปรงฟัน ให้น้ำล้างปาก หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้ 
                    การทำการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก จึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด แต่ถ้าจะเร่งการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำการกลั้วกลอกวันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น และตอนท้องว่าง อย่างไรก็ตาม การกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก ก็ไม่ได้ "โรยด้วยกลีบกุหลาบ"  หรือมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเสมอไป แต่อาจมีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นบ้าง ดังต่อไปนี้

   1.  ภาวะวิกฤตที่เกิดจากการรักษาโรค เมื่อท่่านได้ทำการกลั้วกลอกปากของท่านด้วยน้ำมันมะพร้าว ท่าน ได้โจมตีแหล่งอาศัยของเชื้อโรค ทำให้มันลดจำนวนลงไปเป็นอย่างมาก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของท่านทำงานน้อยลง ทำให้มันมีโอกาสในการทำหน้าที่ได้ดีขึ้น เช่น ในการขับสารพิษ และสิ่งแปลกปลอมออกนอกร่างกาย แม้กระทั่งในการใช้ครั้งแรก แต่มันจะเห็นผลได้ในระยะ 2 - 3 สัปดาห์ เพราะในระยะแรกนั้น มีจำนวนเชื้อโรค และสารพิษสะสมอยู่ในปาก ในลำคอ และในไซนัส(ช่องในกระโหลกศรีษะที่ต่อกับช่องจมูก) มากมาย ที่แรกมันอาจทำให้ท่านคลื่นไส้ หรือสะอิดสะเอียน ท่านอาจจะต้องบ้วนน้ำมันมะพร้าวทิ้ง ไป หลังจากอมได้เพียงสองสามนาที เพราะเบื่อบุช่องปาก ถูกทำให้ลอกออกไปในลำคอ ที่ไปกระตุ้นทำให้เกิดอาการสำลัก นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ท่านจึงควรทำความสะอาดหลอดคอของท่าน และเทน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในปากอีกครั้ง คราวนี้กลั้วกลอกให้ได้นาน 15 นาที
                    การกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก อาจยังคงดึงเยื่อบุปากออกมาจากลำคอและไซนัสต่อไปตลอดทั้งวัน ท่านอาจจะรู้สึกคล้ายเป็นหวัด และอาจจะเจ็บคอ อย่าตกใจ!  ท่านไม่ได้ป่วยหรอก แต่ร่างกายของท่าน กำลังทำความสะอาดโดยกระบวนการกลั้วกลอก เมื่อร่างกายของท่านกำลังขับสารพิษออกจากร่างกาย ท่านอาจพบกับกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากการทำความสะอาด เช่น มีน้ำใส ๆ  ไหลออกมาจากทางจมูก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ผิวแตก เจ็บ ปวด ปวดหัว เป็นไข้ เหนื่อยอ่อน หากท่่านมีปัญหาทางสุขภาพอยู่ก่อน เช่น ปวดข้อ เป็นโรคสะเก็ดเงิน นอนไม่หลับ ฯลฯ เหล่านี้  อาการจะรุนแรงขึ้นระยะหนึ่งปฏิกิริยาทำความสะอาด มักจะเกิดขึ้นเพียง 2 - 3 วัน หรือไม่เกิน 2 - 3 สัปดาห์ จงปล่อยให้ร่างกายของท่านทำหน้าที่ทำความสะอาดต่อไปโดยไม่ถูกขัดขวาง จงกลอกกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวต่อไป และไม่กินยาใด ๆ เพื่อรักษาอาการเหล่านั้น แต่ถ้าเป็นสมุนไพร หรือวิตามิน ก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ไปรบกวนกระบวนการทำความสะอาด แต่ถ้าเป็นยาสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์มันแปลกปลอมต่อร่างกาย และไปก่อภาระต่อระบบภูมิคุ้มกัน ที่จะขับถ่ายสารเหล่านี้ออก ซึ่งบางครั้ง ก็อาจทำให้กระบวนการรักษาช้าลง หรือหยุดไปเลย

                   เมื่อเกิดปฏิกิริยาทำความสะอาดขึ้น เราเรียกมันว่า สภาวะวิกฤตที่เกิดจากการรักษาโรค เพราะอาการที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เพราะมันเป็นสัญญาณที่บอกว่า ร่างกายของท่านกำลังรักษาตัวของมันเอง โดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ

                   อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องผ่านประสบการณ์ร้ายนี้ บางคนเพียงแต่มีน้ำมูกไหลเพียงเล็กน้อย แล้วก็หายไปในที่สุด

                    2.  การหลุดไปของฟันที่อุดไว้ มีบางคนรายงานว่า การกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก ทำให้ฟันที่อุดไว้หลุดออกมา แน่นอน การกลั้วกลอก หรือ ดูด ดึง ดัน น้ำมันมะพร้าวใน ปากของท่าน อาจทำให้วัสดุอุดฟันของท่านหลุดออกมาได้ ก็แสดงว่าวัสดุที่หมดฟันอุดให้ท่าน ไม่ได้มาตราฐาน และการอุดฟันนั้น ไม่ได้ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปอาศัยในซอกและใต้ฟันที่อุดไว้ไม่ดี ซึ่งต่อไป ก็จะเกิดฟันผุ เหงือกเป็นหนอง จนวัสดุอุดฟันของท่าน รวมทั้งฟันซี่นั้นของท่าน หลุดออกมา
                 
                    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะสีฟังเป็นประจำ ใช้ยาบ้วนปาก หรือแม้แต่ยาปฏิชีวนะ แต่เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนประเภทของจุลินทรีย์ในปากของเรา อย่างมากที่ทำได้ ก็คือทำลายพวกมันลงบ้าง แต่ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แล้วในที่สุดพวกมันก็กลับมาอาศัยในปากของเราดังเดิม

                    ผลของการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก ที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้น ไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพู และดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ การกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก ยังช่วยเยียวยาความเจ็บไข้ หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิด ดังนี้ สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน

                     ส่วนอาการหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปาก และอาจมีผลตอบสนองกับการกลั้วกลอกน้ำมันมะพร้าวในปาก ได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง การอุดตันของเส้นเลือด ฝีในสมอง มะเร็ง เก๊าท์ โรคของถุงน้ำดี โรคหัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร โรคของไต โรคของตับ ความผิดปกติของระบบประสาท แก้สารพิษ กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวน้อย และโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด

โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง

ผลของการทำออยล์พู ลลิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้นไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพูแลดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าออยล์พูลลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้หรืออาการป่วยเรื้อรังได้ อีกหลายชนิด ต่อไปเป็นชื่อของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่มีผู้รายงานเข้ามาว่ามีการตอบสนอง ที่ดีกับออยล์พูลลิ่ง: สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน


ส่วนอาการหรือโรคที่ การศึกษาทางการแพทย์พบว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบ สนองกับการทำออยล์พูลลิ่งได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ(ARDS) ถุงลมโป่งพอง การอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่นๆอีกหลายชนิด
- ช่วงเวลาที่เหมาะจะทำออยล์พูลลิ่ง






จากกราฟ แสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานทำให้แบคทีเรียบางส่วนผสมกับอาหารและน้ำลายในที่สุดถูกกลืนลงไป ปริมาณแบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มากเนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก ก่อนอาหารกลางวันปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตอนก่อนอาหารเช้า และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับแบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดมารบก วน การทำออยล์พูลลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด.
ขอบคุณ  

ที่มา :  เอกสารวิชาการฉบับที่ 1/2553
สุขภาพดีได้ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวกลั้วกลอกในปาก
โดย  ดร.ณรงค์  โฉมเฉลา
http://www.naturalmind.co.th