วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พอล ซอร์ซี่ บิดาแห่งน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น

พอล ซอร์ซี่

บิดาแห่งน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น

 

ดร.บรูซ ไฟฟ์ นักโภชนศึกษาผู้แต่งหนังสือ Coconut Cures เขียนคำอุทิศไว้ในหนังสือของเขาว่า
" ขอมอบหนังสือเล่มนี้เป็นอนุสรณ์แด่ พอล ซอร์ซี่ และวิสัยทัศน์ของเขา ในการเผยแพร่สรรพคุณการรักษาของน้ำมันมะพร้าวไปทั่วโลก "
 
พอร์โฟริโอ (พอล) ซอร์ซี่ เกิดที่ฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1895 เป็นบุตรคนที่สองในจำนวนพี่น้องห้าคน พ่อของพอลเป็นนักเทศน์ในคริสตศาสนานิกายโปรแตสแตนต์ เมื่อลูกบ้านป่วย พ่อของพอลจะรักษาพวกเขาด้วยน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นยาพื้นบ้านที่ใช้กันมาจน เป็นประเพณีอยู่ในฟิลิปปินส์ขณะนั้น เขาทำน้ำมันมะพร้าวด้วยตนเองโดยอาศัยวิธีการที่สืบทอดกันมาจากพ่อของพ่อของ พ่อ พอลได้เรียนรู้วิธีทำน้ำมันมะพร้าวสดบริสุทธิ์จากที่นั่น
 
ชีวิต วัยเด็กของพอลทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ราชนาวีสหรัฐเริ่มเกณฑ์ชาวฟิลิปปินส์เข้ารับราชการทหาร (ขณะนั้นฟิลิปปินส์เป็นดินแดนภายใต้อาณัติของอเมริกา) พอลหนุ่มจึงสมัครเข้าเป็นพ่อครัว เขารับใช้กองทัพเรืออยู่สามปี ภายหลังสงครามโลกยุติ พอลลาออกจากทหารมาทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ในเรือพาณิชย์จนกระทั่งปี 1925 หลังจากนั้นพอลย้ายไปนิวยอร์ค อาศัยในหมู่บ้านกรีนวิชกับเพื่อนๆชาวฟิลิปปินส์ของเขา ฝีมือพ่อครัวของเขาได้รับการฝึกฝนให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเขาได้เข้าทำงานใน โรงแรมหรูอย่าง วอลดอร์ฟแอสโตเรีย พอลยังเคยทำงานให้กับตระกูลมั่งคั่งหลายตระกูล โดยเป็นทั้งพ่อครัว คนขับรถ และพ่อบ้าน พอลจะปรุงหารรสอร่อย คอยดูแลลูกเจ้านาย รวมทั้งดูแลสัตว์เลี้ยงและรถยนต์
 
ครั้ง หนึ่งเขาทำงานให้ตระกูลไครสเลอร์ โอกาสหนึ่งพอลเล่าว่า เจ้านายบอกพอใจในผลงานของเขาและเขาสมควรได้รับรางวัล จากนั้นไม่นาน เจ้านายของพอลตายด้วยเหตุเครื่องบินส่วนตัวตก เขาทิ้งเงินไว้ให้พอลก้อนหนึ่งที่พอลอธิบายว่าเป็น"เงินก้อนใหญ่" ส่วนจะใหญ่แค่ไหนนั้นผมไม่เคยรู้ แต่สงสัยว่าไม่น่าจะใช่แค่สองพันสามพันเหรียญ จากการที่รู้อยู่แล้วว่าพอลดำเนินชีวิตอย่างมัธยัสถ์เพียงไร เงินจำนวนนี้น่าจะทำให้พอลเป็นหลักเป็นฐาน แต่พอลกลับมอบมันแก่เพื่อนชาวฟิลิปปินส์ของเขา เพื่อนำไปใช้เป็นทุนเข้าศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียโดยไม่หวังจะได้คืน เขาบอกกับเพื่อนของเขาว่า เมื่อเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงแล้วให้นำเงินไปช่วยเหลือพี่น้องชาวฟิลิปปินส์ ต่อไป นี่แหละพอล คอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
 
พอ ลเริ่มทำน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วย เหมือนกับที่พ่อของเขาเคยทำ อย่างไรก็ดี น้ำมันมะพร้าวของพ่อของเขาทำด้วยวิธีโบราณ มีส่วนผสมของน้ำปนอยู่มาก เก็บไว้ได้แค่สองสามสัปดาห์ก็เหม็นหืน พอลจึงปรับปรุงสูตรดั้งเดิมของพ่อเขาเสียใหม่โดยสกัดน้ำออกทั้งหมด ทำให้สามารถเก็บรักษาได้นานไม่จำกัด ใช้แล้วลื่นกว่า และแทรกซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายกว่ามาก
 
พอ ลเกษียณในปี 1952 เมื่อมีอายุครบ 57 เขาตัดสินใจทำน้ำมันมะพร้าวของเขาออกขายแบบเต็มเวลา "เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์, ตอบสนองความต้องการของมนุษย์" พอลกล่าว "มันทำให้คุณมีความสุข, สุขภาพแข็งแรง, และงดงาม, มันแทรกซึมผ่านรูขุมขน, เข้าสู่ศูนย์กลางประสาท ช่วยให้อายุยืนยาว สุขภาพดี" ช่วงชีวิต 45 ปีที่เหลือต่อมาของพอลอุทิศให้กับ การเผยแพร่วิธีส่ร้างเสริมสุขภาพด้วยน้ำมันมะพร้าวของเขา
 
ชื่อเสียงของพอลและน้ำมันมะพร้าวเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งเมือง หนังสือพิมพ์หลายฉบับตีพิมพ์เรื่องของพอลและน้ำมัน'โคเพียว' (น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์) ของเขา บริษัทผลิตเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่สองสามบริษัทเสนอซื้อสูตรลับการทำน้ำมัน มะพร้าว แต่พอลปฏิเสธไปทั้งหมด การได้ลงมือทำพร้อมกับควบคุมคุณภาพด้วยตัวเองเป็นสิ่งสำคัญกว่าการได้มาซึ่ง เงินทอง
 
ผู้ คนทั่วทั้งนิวพอร์ทต่างมาหาเขาเพื่อซื้อน้ำมันมะพร้าวหรือมาขอคำปรึกษา เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การรักษาของพอลจะใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นหลักเสมอ มันเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเดียวที่เขาขาย ลูกค้าของพอลมาจากทุกสาขาอาชีพ นอร์ม่า เทเลอร์ โปรเทนนิสเป็นลูกค้าประจำเช่นเดียวกับ ดิ๊ค เกรกอรี่ นักเขียนเรื่องขำขันและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง, แคธลีน คอตตา ผู้ทำไร่สมุนไพรอยู่ที่พอร์ทสมัทธ์ จะแวะมาซื้อน้ำมันมะพร้าวคราวละสองขวด ขวดหนึ่งไว้ใช้ภายนอก อีกขวดไว้รับประทาน "เชื่อหรือไม่" เธอพูด "ฉันเหยาะมันในน้ำชาหรือกาแฟ มันเหมือนวิตะมินเลย"
 
ที่ร้าน ของพอลมักเตรียมอาหารหม้อใหญ่เผื่อไว้หนึ่งอย่างสำหรับคนที่กำลังหิว เขาจะเสิร์ฟมันแก่ลูกค้าประจำ เพื่อนสนิท หรือกับใครๆที่แวะเข้ามา ทุกๆวันจะมีชายตาบอดคนหนึ่งเดินเคาะไม้เท้ามาตามถนนเทมส์จนถึงร้านของเขา พอลจะจัดอาหารเลี้ยงดูชายตาบอดอย่างดีราวกับพระราชา เขาทำเช่นนี้ทุกวันเป็นปีๆและคิดค่าอาหารเพียงหนึ่งหรือสองดอลลาร์ ที่พอลต้องคิดเงินก็เพื่อไม่ให้ชายตาบอดรู้สึกเคอะเขิน เขายังทำเช่นนี้กับคนติดเหล้าคนหนึ่งที่โผล่มาเป็นครั้งคราว พอล เป็นชายร่างเล็กที่สูง 5 ฟุต 1 นิ้วและหนักเพียง 120 ปอนด์ แต่หัวใจของเขายิ่งใหญ่นัก
 
ธุรกิจของพอลคือน้ำมันมะพร้าวที่เขารักอย่างจริงจัง บทสนทนาของพอลถ้าไม่เริ่มต้นก็ต้องจบลงด้วยเรื่องน้ำมันมะพร้าว พอลมักพูดว่า "มะพร้าวเป็นราชาของอาหาร มะม่วงเป็นราชินี" พอลเคยยกขวดน้ำมันมะพร้าวขึ้นพร้อมพูดว่า "ความลับของการมีสุขภาพดีอยู่ในขวดนี้ คนเป็นล้านทั่วโลกต้องตายไปเพราะเจ็บไข้หรือหิวโหย รู้แล้วก็ได้แต่เศร้าใจเพราะตัวผมมีคำตอบอยู่ในมือ"
 
พอ ลไม่เคยมีกลิ่นตัวหรือกลิ่นปาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 25 ปี พอลไม่เคยอาบน้ำฟอกสบู่เลย เขาใช้การนวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวทุกวันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแทน เขาจะดื่มมันเล็กน้อย ถ้าวันไหนรู้สึกไม่ดีก็จะดื่มมากหน่อย ด้วยสุขภาพและสภาวะทางร่างกายที่ดีเยี่ยม บวกกับใบหน้าที่ไม่มีริ้วรอยแม้จะอยู่ในวัย 70-80 ปีของพอลเป็นตัววัดได้อย่างดีว่าน้ำมันมะพร้าวของเขาให้ผลเช่นไร
 
พอล ซอร์ซี่
ปี 1995 พอล ซอร์ซี่ฉลองวันเกิดอายุครบ 100 ปี ได้รับเกียรติจากเทศบาลเมืองรีโฮบอทช์ แมสซาชูเซ็ท ยกย่องให้เป็นพลเมืองอาวุโสที่สุด พอลยังคงมีสติแจ่มใสและกระฉับกระเฉง เขาทำสลัดมันฝรั่งและไข่เดฟเวิลด์เลี้ยงแขกที่มาร่วมฉลองในงาน
 
พอล ซอร์ซี่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 1998 ด้วยวัยอันน่าทึ่ง 102 ปี คนที่รู้จักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาดูอ่อนวัยและกระฉับกระเฉงกว่าอายุ ยังคงง่วนกับการบดมะพร้าวเพื่อทำน้ำมันอย่างทะมัดทะแมงไปจนบั้นปลายชีวิต เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าน้ำมันมะพร้าวของเขาใช้ได้ผลเพียงไร พอลนับว่าเป็นผู้ค้นพบยาอายุวัฒนะที่แท้จริง
 
 
บางตอนของ The Miracle Man, Coconut Cures
เขียนโดย Bruce Fife N.D. จากคำบอกเล่าของ Jack DiSandro

 

น้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว


- ความหมายของคำว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น หรือกลั่นเย็น หรือสกัดเย็น
คำว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น, น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กลั่นเย็น หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น ล้วนมีความหมายอย่างเดียวกัน มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Virgin Cold Pressed Coconut Oil เป็นการผลิตน้ำมันมะพร้าวโดยไม่ใช้ความร้อนและไม่ใช้สารเคมี เพื่อรักษาสารที่มีประโยชน์ในเนื้อน้ำมันมะพร้าว และป้องกันไม่ให้การจับตัวกันของโมเลกุลน้ำมันมะพร้าวเปลี่ยนแปรไปจนเป็นโทษ กับร่างกาย
- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นขนานแท้จากธรรมชาติต้องเป็นไข
น้ำมัน มะพร้าวธรรมชาติจะแข็งตัวหรือเป็นไข เมื่ออากาศหนาวเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25°C หากไม่แข็งตัวที่อุณหภูมิดังกล่าวแสดงว่า น้ำมันมะพร้าวขวดนั้นๆถูกผ่านกรรมวิธีด้วยความร้อนหรือสารเคมี ที่ทำให้การจับตัวของโมเลกุลน้ำมันมะพร้าวเปลี่ยนแปลงไป
- การอุ่นน้ำมันมะพร้าว
เมื่อ น้ำมันมะพร้าวเป็นไข ให้นำขวดลงแช่ในน้ำอุ่นจัดแต่ไม่ถึงกับร้อน (บางท่านใช้วิธีเป่าด้วยไดร์เป่าผม) น้ำมันมะพร้าวจะกลับมาเป็นของเหลวใสดังเดิม ข้อดีของการอุ่นน้ำมันมะพร้าวคือ น้ำมันมะพร้าวอุ่นๆจะแทรกซึมผ่านผิวหนังและรูขุมขนได้ดีขึ้น
- น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันสายปานกลาง
เนื่อง จากน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีคาร์บอนในโมเลกุลเพียง 8 - 12 ตัวเป็นส่วนมาก ผิดกับน้ำมันชนิดอื่นๆที่เป็นกรดไขมันสายยาว คือมีคาร์บอนในโมเลกุลตั้งแต่ 14 ตัวขึ้นไป ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวที่เป็นกรดไขมันสายปานกลางก็คือ ย่อยง่าย เปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็ว ไม่สะสมตามเซลล์ไขมันหรือเกาะตัวตามผนังหลอดเลือดเหมือนน้ำมันทั่วไป
- กรดไขมันที่พบได้ในน้ำมันมะพร้าว
ในน้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดลอริค 47.5% กรดคาปริลิค 7.8% กรดคาปริค 6.7% ที่เหลือเป็นกรดไขมันอีกหลายหลายชนิดอย่างละเล็กน้อย
- ตารางเปรียบเทียบกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันชนิดอื่น
 
 
- ความหมายของคำว่าไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว
การจับ กันของโมเลกุลกรดไขมัน ถ้าจับกันแบบหลวมๆสามารถแปรเปลี่ยนได้ง่ายจะได้เป็นไขมันไม่อิ่มตัว แต่ถ้าจับกันแบบเหนียวแน่นไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้ง่ายจะได้เป็นไขมันอิ่มตัว คำว่าอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวจึงหมายถึงการจับตัวกันของโมเลกุลกรดไขมัน ไม่ได้หมายความว่าเป็นน้ำมัน ดี หรือ ไม่ดี
 
- สาเหตุที่น้ำมันมะพร้าวถูกโจมตี
เมื่อ ประมาณ 40 ปีมาแล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาใช้ผลงานวิจัยโจมตี เหมาเอาว่าน้ำมันที่เป็นไขมันอิ่มตัวทั้งหมดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงพลอยรับผลกระทบนี้เข้าไป เต็มๆ แน่ละว่าเป็นเหตุผลทางการตลาด แต่หน่วยงานของรัฐกลับออกมาสนับสนุนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ที่ว่ารู้เท่าไม่ถึงการเนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองไม่ได้ระบุ ไว้ด้วยว่า ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว (ในขณะนั้นอาจยังไม่รู้ข้อเท็จจริง)
 
- น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดดี
เป็นความ จริงที่ไขมันอิ่มตัวส่วนมากทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น แต่มีไขมันอิ่มตัวบางชนิด (น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม) ไม่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ในทางกลับกันยังทำให้ระดับของ HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลดีเพิ่มขึ้น และระดับของ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตออลร้ายลดลง อันที่จริงน้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ คือมีอยู่แค่ 14 PPM ในขณะที่น้ำมันปาล์ม, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, เนยเหลว และน้ำมันหมู มีคอเลสเตอรอลอยู่ที่ 18, 28, 50, 3150 และ 3500 PPM ตามลำดับ (PPM=1ส่วนในล้านส่วน)
 
- ข้อดีของไขมันอิ่มตัว
เพราะ ไขมันอิ่มตัวมีโมเลกุลที่จับกันอย่างแน่นหนา จึงไม่แปรสภาพหรือเสื่อมเสียได้ง่าย หากผสมน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันไม่อิ่มตัว น้ำมันมะพร้าวจะช่วยรักษาน้ำมันไม่อิ่มตัวนั้นให้พลอยไม่เสื่อมสภาพไปง่ายๆ ด้วย ปัจจุบันจึงมีการใช้น้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดดี ผสมลงในอาหารเพื่อเป็นการเก็บรักษาหรือการถนอมอาหาร
 
- ข้อเสียของไขมันไม่อิ่มตัว
ข้อเสีย ของไขมันไม่อิ่มตัวคือเสื่อมสภาพได้ง่ายนั่นเอง จึงต้องมีการนำไขมันไม่อิ่มตัวมาเพิ่มสารเคมีและให้ความร้อน ซึ่งเราเรียกว่าน้ำมันผ่านกรรมวิธี การนำน้ำมันมาผ่านกรรมวิธีทำให้เก็บรักษาได้นานขึ้นแต่ทำให้การจับตัวของ โมเลกุลกรดไขมันเปลี่ยนแปรไปเกิดเป็นกรดไขมันทรานส์ และไขมันทรานส์นี่เองที่เป็นโทษกับร่างกาย ทำให้เกิดโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคหัวใจ สำหรับน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัว จึงไม่จำเป็นต้องผ่านกรรมวิธี ทำให้ไม่มีกรดไขมันทรานส์
 
- น้ำมันมะพร้าวไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งเมื่อถูกนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อน
ด้วยความ ที่น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เสื่อมสภาพหรือแปรสภาพได้ง่าย จึงไม่เปลี่ยนรูปเป็นไขมันทรานส์ที่เป็นสารก่อมะเร็งเมื่อต้องถูกกับความ ร้อนหากนำไปใช้เป็นน้ำมันทอดอาหาร ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังมีอัตราการเกิดโพลิเมอร์ต่ำ หมายถึงสารเหนียวที่เกิดจากการทอดด้วยไฟแรง และไม่เหม็นหืนง่ายเหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวทั่วๆไป
 
- น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษกับร่างกาย
พอล ซอร์ซี่ ต้นตำรับของการทำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น บิดาของพอลเป็นแพทย์แผนโบราณ พอลจึงรับประทานน้ำมันมะพร้าวมาแต่เล็กๆทุกวันวันละ 2 ช้อน ใช้น้ำมันมะพร้าวนวดตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทุกวัน ปรุงอาหารทุกชนิดด้วยน้ำมันมะพร้าว (พอลเป็นพ่อครัวชั้นดี เคยทำงานเป็นกุ๊กในโรงแรมหรูอย่าง วอลดอล์ฟแอสโตเรีย) พอลมีอายุยืนยาวถึง 102 ปี
 
- แร่ธาตุที่สำคัญและวิตะมินบางชนิดต้องละลายในไขมัน
แคลเซี่ ยม แม็กเนเซี่ยม เบตาแคโรทีน วิตะมิน A, D, E, K ล้วนต้องละลายในไขมันร่างกายจึงจะดูดซับไปใช้งานได้ คนเราจึงไม่สามารถขาดการบริโภคไขมัน เพราะน้ำมันมะพร้าวย่อยง่าย เปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็ว จึงช่วยนำแร่ธาตุและวิตะมินต่างๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้เร็ว
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
หากร่าง กายขาดแคลเซี่ยมและแม็กเนเซี่ยม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เกิดอาการกระดูกเปราะ แตกหักง่าย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับแคลเซี่ยมและ แม็กเนเซี่ยม จึงเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
 
- น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์กับทารกและตัวอ่อนในครรภ์
เพราะ น้ำมันมะพร้าวทำให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย หากผู้ที่กำลังจะเป็นคุณแม่รับประทานอาหารที่ประกอบด้วยน้ำมันมะพร้าว ทารกจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างพอเพียง นอกจากนั้นในน้ำมันมะพร้าวยังประกอบด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ การรับประทานน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหาร และกรดลอริคนี่เองที่มีอำนาจในการฆ่าเชื้อโรค ทำให้ทารกแข็งแรงมีภูมิคุ้มกัน
 
- น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์กับผู้มีปัญหาเรื่องตับ
จากที่ กล่าวแล้วว่าคนเราจำเป็นต้องรับประทานไขมัน แต่น้ำมันส่วนมากเป็นกรดไขมันสายยาวจึงย่อยยาก ต้องอาศัยน้ำดีและเอนไซม์จากตับเป็นตัวช่วยย่อย กระบวนการการย่อยไขมันจะเกิดที่ลำไส้ ผู้ที่เป็นเบาหวานตับอ่อนบกพร่อง หรือผู้ที่เคยผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกจะรู้กันดีว่ามีปัญหาเรื่องย่อยไขมัน สำหรับน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันสายปานกลาง ย่อยง่ายสามารถย่อยได้แม้ในกระเพาะอาหาร น้ำมันมะพร้าวจึงมีประโยชน์มากกับผู้มีปัญหาเรื่องตับ
 
- น้ำมันมะพร้าวถูกใช้เป็นอาหารเสริมกำลังแก่นักกีฬา
ด้วยความ ที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำไปใช้สร้างเป็นพลังงานได้เร็ว น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปทำเป็นอาหารบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่มและ แบบแท่ง ทั้งนี้ไม่เป็นการผิดกฏ เนื่องจากการใช้น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มพลังงานไม่มีผลตกค้างและผลข้างเคียง แบบการใช้ยาหรือการใช้สารกระตุ้น
 
- น้ำมันมะพร้าวกับการทำงานของต่อมไทรอยด์
บางขณะ การทำงานของต่อมไทรอยด์ติดอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามของปัญหาไทรอยด์ต่ำ การรับประทานน้ำมันมะพร้าวจะช่วยบู๊สท์พลังงานให้กับต่อมไทรอยด์ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวให้พลังงานสูง ดูดซับเร็ว จึงสามารถกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์กลับมาทำงานในอัตราปรกติได้
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยปกป้องคุ้มครองไต
โรคไตเป็นสภาวะแทรก ซ้อนของเบาหวาน ไตวายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิตของโรคเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้รับการควบคุมเป็นเวลานานปัญหาการไหลเวียนจึง เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับเส้นเลือดเล็กๆที่ไต มีหลักฐานว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันไตจากความเสียหาย และช่วยให้กลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างจากงานศึกษาชิ้นหนึ่ง สภาวะไตวายถูกทำให้มีขึ้นในสัตว์ทดลอง กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวมีความเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นกับไตน้อยกว่า และมีอายุอยู่ได้นานกว่า นักวิจัยสรุปว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลในการช่วยป้องกันไต ถ้าความเสียหายไม่รุนแรงจนเกินไป น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นอย่างถาวร น้ำมันมะพร้าวจะช่วยไม่ให้อาการเลวร้ายลงกว่าเดิม
 
- น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ
น้ำมัน มะพร้าวเมื่อแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระจะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจะทำให้เชื้อโรคร้ายต่างๆในร่างกายของ เราลดลง ทำให้ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย การฆ่าเชื้อของน้ำมันมะพร้าวไม่เหมือนกับการฆ่าเชื้อด้วยยาปฎิชีวนะ จึงไม่ทำให้เชื้อเกิดการดื้อยา นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังช่วยขับถ่ายพยาธิอีกด้วย
 
- น้ำมันมะพร้าวกับปัญหาเชื้อรา
เชื้อ ราในที่นี้มีชื่อว่าเชื้อราแคนดิดา คุณผู้หญิงจะรู้จักมันในรูปแบบของเชื้อราในช่องคลอด บรรดาคุณพ่อคุณแม่จะรู้จักมันในรูปแบบของเชื้อราที่เกิดตามปากและช่องคอของ เด็กอ่อน หรือเชื้อราตามผิวหนังที่เกิดภายใต้ความอับชื้นของผ้าอ้อม ปกติ เชื้อราแคนดิดาอาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์อย่างไม่มีพิษภัย เนื่องจากถูกสารที่เกิดจากแบ็คทีเรียชนิดดีคอยควบคุมไว้ จึงมีจำนวนไม่มากนัก แต่เมื่อเรารับประทานยา บางชนิดโดยเฉพาะ ยาปฏิชีวนะ จำพวกสเตียรอยด์ (คอร์ซิโตน, เอทีซีเอช, เพร็ดนิโซน, และยาคุมกำเนิด) ยาพวกนี้จะฆ่าแบ็คทีเรียในลำไส้ของเราไม่ว่าเป็นชนิดดีหรือชนิดร้าย แต่ไม่ฆ่าเชื้อราแคนดิดา เมื่อไม่มีแบ็คทีเรียคอยควบคุม เชื้อราแคนดิดาจะทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างของตัว เองเป็นราหลายเซลฝังตัวลงในลำไส้ ทำให้ลำไส้เป็นแผล เกิดโรคลำไส้อักเสบ น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราพวกนี้ และสามารถคืนความสมดุลให้กับลำไส้เมื่อเรารับประทานเป็นประจำ
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยแก้ปัญหาการอักเสบเรื้อรัง
ท่านที่ มีปัญหาไม่สบายเนื้อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ผิวหนังมีอาการแพ้หรืออักเสบเรื้อรังเป็นรอยด่างดำ มีการอักเสบที่ระบบทางเดินอาหารทำให้ท้องเสียเรื้อรัง การรับประทานน้ำมันมะพร้าวทุกวันสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะน้ำมันมะพร้าวจะเข้าไปช่วยสร้างความสมดุลในระบบทางเดินอาหารเช่นใน กระเพาะและลำไส้ ช่วยลดจำนวนของแบ็คทีเรียร้าย และทำให้แบ็คทีเรียชนิดดีเพิ่มปริมาณมากขึ้น
 
- น้ำมันมะพร้าวไม่ทำอันตรายแบ็คทีเรียชนิดดีในลำไส้
ในร่าง กายของคนเรา ส่วนมากในลำไส้จะประกอบด้วยแบ็คทีเรียชนิดที่เป็นคุณและเป็นโทษกับร่างกาย แบ็คทีเรียชนิดดีจะคอยควบคุมของปริมาณของแบ็คทีเรียร้ายไม่ให้มีมากเกินไป การรับประทานยาบางชนิดจะไปฆ่าแบ็คทีเรียทั้งชนิดที่เป็นโทษและเป็นคุณกับ ร่างกาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวจะไม่ฆ่าแบ็คทีเรียชนิดดี เพราะแบ็คทีเรียชนิดดีก็เช่นเดียวกับร่างกายหรือเซลล์ของร่างกาย ที่ชอบแต่อาหารที่ดีมีประโยชน์ ต่างกับแบ็คทีเรียร้ายที่ชอบอาหารพวกคาร์โบไฮเดรท
 
- น้ำมันมะพร้าวเป็นสารแอนตีออกซิแดนท์
การ เสื่อมสภาพหรือการออกซิเดชั่นของไขมันนั้น เกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย การเสื่อมสภาพของไขมันในร่างกายทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆมากมาย เช่นทำให้เกิดโรคมะเร็ง เส้นเลือดอุดตันอันนำไปสู่การเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ การเสื่อมของประสาทตาในโรคเบาหวานเป็นต้น เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสามารถยับยั้งการเสื่อมสภาพของไขมัน ช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของไขมันในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นสารแอนตีออกซิแดนท์
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวาน
ด้วยเหตุ ที่น้ำมันมะพร้าวช่วยลดอนุมูลอิสระ อันเกิดจากการเสื่อมสภาพหรือการออกซิเดชั่นภายในร่างกาย จึงช่วยลดการเสื่อมของหลอดเลือดหัวใจ ลดการเสื่อมของดวงตาในกรณีของโรคเบาหวาน และลดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง น้ำมันมะพร้าวจึงทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆด้วยเหตุนี้
 
- น้ำมันมะพร้าวทำให้เหงือกแข็งแรง
ปัญหาโรค เหงือก เหงือกช้ำ บวม แดง หรือมีเลือดออกตามไรฟัน สามารถแก้ได้โดยการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ เพราะน้ำมันมะพร้าวทำให้ร่างกายแข็งแรง ทำให้เหงือกแข็งแรง (อาการเกี่ยวกับเหงือกอาจเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน)
 
- น้ำมันมะพร้าวกับการทำออยล์พูลลิ่ง
ออยล์พู ลลิ่งเป็นการบำบัดด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยการอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปากประมาณวันละ 15-20 นาทีจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งจะดึงแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคหรือสร้างสารพิษออกจากช่องปาก ทำให้ช่องปากรวมไปถึงร่างกายมีสุขภาพดี น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นเหมาะจะใช้ทำออยล์พูลลิ่ง เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันพืชชนิดใด มีความสะอาด และยังมีกลิ่นรสเป็นที่น่าพอใจอีกด้วย
 
- เรื่องราวของน้ำมันมะพร้าวกับต่อมลูกหมาก
ชายผู้ หนึ่งอาศัยในประเทศฟินแลนด์ มีปัญหาต่อมลูกหมากโตทำให้ปัสสาวะลำบากมาเป็นเวลากว่าสิบปีจนต้องรับประทาน ยาติดต่อกันมา 7-8 ปีแล้ว แต่ผลข้างเคียงของยาทำให้คัดจมูก ชายผู้นี้ได้ความรู้จากอินเตอร์เน็ทว่า น้ำมันปาล์มสกัดสามารถแก้ปัญหาต่อมลูกหมากโตโดยไม่มีผลข้างเคียง จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำมันปาล์มสกัดแทนยาโดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาเขาสังเกตว่ากรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวและกรดไขมันในน้ำมันปาล์มนั้นมี ความเหมือนกันในส่วนประกอบหลัก จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันปาล์มสกัดที่หาซื้อยากในฟินแลนด์ ปัจจุบันเขารับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันมาได้ 3 ปีแล้วโดยไม่มีปัญหากับการปัสสาวะ
 
- น้ำมันมะพร้าวกับเอนไซม์
เอนไซม์ มีหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต จึงมีความสำคัญกับชีวิตเป็นอย่างมาก หากเอนไซม์หยุดทำงานชืวิตจะดับสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ยาพิษที่ชื่อไซยาไนด์มีฤทธิ์หยุดยั้งการทำงานของเอนไซม์ เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายจะทำให้เสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาทีเพราะไปหยุด ยั้งการทำงานของเอนไซม์
แต่ ถ้าเอนไซม์ในร่างกายบกพร่องมีปริมาณลดน้อยลงเนื่องจากรับประทานอาหารที่ไม่ มีเอนไซม์ ร่างกายจะเสื่อมโทรมเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ น้ำมันมะพร้าวมีส่วนช่วยให้ร่างกายประหยัดเอนไซม์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงมีส่วนทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงในอีกทางหนึ่ง
 
- น้ำมันมะพร้าวกับเอดส์
การ ทดลองเรื่องผลของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อไวรัส HIV ทำขึ้นครั้งแรกที่โรงพยาบาลซานลาซาโรในประเทศฟิลิปปินส์ การทดลองกระทำกับกลุ่มคนไข้อายุ 22-38 ปีที่ไม่เคยรับการรักษา HIV มาก่อน การทดลองใช้ระยะเวลา 6 เดือน ผลการทดลองวัดจากปริมาณไวรัสในเลือดและปริมาณของ CD4 (ซีดีโฟร์-ปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาว) โดยให้คนไข้บางส่วนรับประทานน้ำมันมะพร้าววันละ 3½ ช้อนโต๊ะหรือน้อยกว่าเป็นประจำทุกวัน และให้คนไข้บางส่วนรับประทานโมโนลอริน ซึ่งเป็นโมโนกลีเซอร์ไรด์ของกรดลอริคในน้ำมันมะพร้าว เมื่อ สิ้นสุดการทดลอง คนไข้ 8 ใน 14 คนมีปริมาณไวรัสในเลือดลดลง, 5 คนมีปริมาณ CD4 เพิ่มขึ้น และ 11 คนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีสุขภาพดีขึ้น น.พ.คอนราโด เดย์ริท กล่าวว่า "ผลการทดลองนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและสามารถช่วยให้ปริมาณไวรัส HIV ลดลงได้"
 
- การรับประทานน้ำมันมะพร้าว
คำ ถามแรกที่ผู้เริ่มเรียนรู้ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวมักจะถามคือ ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวในปริมาณวันละเท่าไร? คำตอบคือ วันละเท่าไรก็ได้ที่คุณรู้สึกเหมาะสม แม้แต่วันละครึ่งช้อนก็มีประโยชน์ ขนาด ที่แนะนำคือ 3½ ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆไป เป็นปริมาณที่อัตราส่วนพอๆกับกรดไขมันสายปานกลางธรรมชาติที่พบในน้ำนมแม่ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอที่จะป้องกันทารกจากการติดเชื้อ การเจ็บไข้ได้ป่วย และช่วยในการรับสารอาหารที่มีคุณค่าในสภาวะปกติทั่วๆไป โดยเฉลี่ยรับประทานคราวละน้อยตลอดทั้งวันจนครบจำนวน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 70กก. ปริมาณ 3½ ช้อนโต๊ะเป็นปริมาณที่เหมาะสม ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่านี้สามารถลดปริมาณลง ½ ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักที่น้อยลง 10กก. ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 70กก. รับประทานวันละ 4 ช้อนโต๊ะถือเป็นปริมาณที่เหมาะสม
 
- น้ำมันมะพร้าวให้ผลดีที่สุดกับการบำรุงผิว
นอกจาก การเสื่อมสภาพหรือการเกิดออกซิเดชั่นจะเกิดขึ้นภายในร่างกายแล้ว การออกซิเดชั่นสามารถเกิดขึ้นภายนอกร่างกายได้เช่นเดียวกัน การเสื่อมสภาพภายนอกร่างกายเกิดขึ้นที่ผิวนั่นเอง ซึ่งจะออกในรูปของการแพ้ เกิดรอยด่างดำต่างๆ แม้แต่ผิวหนังเหี่ยวย่นก็เป็นผลของการเกิดออกซิเดชั่น การทาน้ำมันมะพร้าวที่ผิวจึงเป็นการลดหรือกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นกับ ผิวนั่นเอง น้ำมันมะพร้าวยังปลอดภัยกับผิวเด็กเราจึงสามารถใช้ทาผิวทารก
 
- น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยวิตะมิน E คุณภาพสูง
วิตะมิน E ในน้ำมันมะพร้าวเป็นสารโทโคไทรอินอล ซึ่งเป็นรูปแบบของวิตะมิน E ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตะมิน E อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นสารโทโคเฟอรอล ซึ่งใช้กันอยู่ในเครื่องสำอางรักษาผิวทั่วไปถึง 40-50 เท่า
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกัน-รักษาฝ้า กระ และสามารถใช้เป็นยากันแดด
อนุมูล อิสระเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นฝ้าและกระ วิตะมิน E ในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ละลายอนุมูลอิสระเหล่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยากันแดดได้ดีอีกด้วย เนื่องจากเมื่อแห้งแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ
 
- น้ำมันมะพร้าวทำความสะอาดรูขุมขนช่วยลดปัญหาเรื่องสิว
เมื่อ ผิวหน้าของเราสกปรกรูขุมขนถูกอุดตัน ร่างกายไม่มีช่องทางให้ขับถ่ายของเสียจึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องสิว ฝี และใบหน้าเกิดริ้วรอย การใช้เครื่องสำอาง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูขุมขนถูกอุดตัน แต่รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับคุณสาวๆ พอ ล ซอร์ซี่ บิดาแห่งการทำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นกล่าวว่า เมื่อเราทาน้ำมันมะพร้าวที่ผิว น้ำมันจะซึมผ่านรูขุมขนและทำความสะอาดมัน ทำให้ร่างกายมีช่องทางขับถ่ายของเสีย เพื่อ เป็นการทดลอง พอลให้ใครสักคนเคี้ยวหมากฝรั่ง หลังจากนั้นพอลให้น้ำมันมะพร้าวแก่เขา 1 ช้อน หลังจากเคี้ยวหมากฝรั่งไปพร้อมกับน้ำมันมะพร้าว หมากฝรั่งจะค่อยๆละลายหายไปในปาก "นี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน" พอลกล่าว
 
- น้ำมันมะพร้าวช่วยสมานผิวป้องกันการเกิดปัญหาหน้าท้องลาย
น้ำมัน มะพร้าวยังช่วยเร่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและติดเชื้อของผิวหนังทุกชนิด ป้องกันการเกิดแผลเป็นที่น่าเกลียด หากใช้ก่อนล่วงหน้าอาการบาดเจ็บนั้นๆจะหายเร็วยิ่งขึ้น จึงเป็นการดีที่จะใช้เป็นประจำทุกวัน คุณผู้หญิงที่ต้องการจะเป็นแม่ หากนวดน้ำมันมะพร้าวที่หน้าท้อง ทุกวันตั้งแต่ก่อนไปจนตลอดและหลังการคลอด การเกิดท้องลายจะไม่เป็นปัญหา หรือผู้ที่เล่นเพาะกายเมื่อทำขนาดของร่างกายและกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น บางคนมีริ้วรอยที่เกิดจากการยืดของผิวหนัง ปัญหานี้แก้ได้ด้วยน้ำมันมะพร้าว
 
- วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวดูแลเส้นผมรากผมและหนังศีรษะ
น้ำมัน มะพร้าวช่วยให้ผมเป็นเงางามแข็งแรง บางคนกล่าวว่าช่วยให้ผมไม่หงอกก่อนวัยและช่วยให้ผมไม่ร่วงป้องกันศีรษะล้าน ยังดีต่อหนังศีรษะและช่วยควบคุมรังแค วิธีใช้ น้ำมันมะพร้าวดูแลเส้นผมรากผมและหนังศีรษะ ชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ ด้วยปริมาณที่เหมาะสมประมาณหนึ่งถึงสองช้อนชา นวดหนังศีรษะจนน้ำมันแทรกซึมทั่วหนังศีรษะและเส้นผมแต่อย่าใช้มากจนเปียก เกินไป หลังจากนั้น ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที (ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไรยิ่งดี) เพื่อให้น้ำมันแทรกซึมสู่หนังศีรษะจึงค่อยสระออก คุณอาจใช้ใส่ผมตั้งแต่ตื่นนอน และทิ้งไว้จนกระทั่งอาบน้ำตอนเช้าจึงสระออก หรือคุณอาจใช้ใส่ผมในตอนกลางคืนก่อนนอน โดยใช้หมวกอาบน้ำคลุมผมไว้ แล้วค่อยสระออกเมื่ออาบน้ำตอนเช้าก็ได้ คุณจะประหลาดใจที่ผมของคุณดูสวยเป็นเงางามและมีรังแคลดน้อยลง
 
- น้ำมันมะพร้าวเหมาะจะใช้เป็นน้ำมันนวด
น้ำมัน มะพร้าวเหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นน้ำมันนวด (massage therapy) เนื่องจากคุณสมบัติในการฟื้นฟูของมัน ช่วยให้ผิวหนังมีสุขภาพแข็งแรงดูมีน้ำมีนวล และยัง ช่วยผ่อนคลาย ลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ที่สำคัญไม่ทำให้เสื้อผ้าเปื้อน จึง ไม่ทำให้ที่นอนหรือผ้าปูที่นอนเสียหาย หากแม้คุณทำหกบนที่นอน รอยเปื้อนจะต่างจากรอยเปื้อนของน้ำมันอื่น น้ำมัน มะพร้าวอย่างเดียวก็เหมาะจะใช้เป็นน้ำมันนวด อย่างไรก็ตาม น้ำมันมะพร้าวร่างกายสามารถดูดซับได้ง่าย ผู้นวดหลายคนจึงผสมน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียวชั้นดีอย่าง น้ำมันอัลมอนด์ ในอัตราส่วน น้ำมันอัลมอนด์ 1 ส่วนต่อน้ำมันมะพร้าว 2 ส่วน ซึ่งทำให้น้ำมันมีความเรียบลื่นขึ้นเมื่อนวดผ่านผิวหนัง
 
- สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวนวดบรรเทาปัญหาข้ออักเสบ
ปัญหาข้อ อักเสบ ขัด บวม และเจ็บปวด สามารถบรรเทาได้โดยการใช้น้ำมันมะพร้าวทาให้ชุ่มและนวดตรงบริเวณที่มีปัญหา เป็นประจำหรืออาจใช้ผ้าพันไว้ อาการบวมจะลดลง และความเจ็บปวดก็จะลดลงด้วย
 
- น้ำมันมะพร้าวกับการควบคุมน้ำหนัก
หากจะถามว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่? คำตอบคือ จริง แต่เป็น การช่วยทางอ้อม ไม่ได้เป็นผลโดยตรง ข้อ ดีของน้ำมันมะพร้าวอยู่ที่ เป็นกรดไขมันสายปานกลาง จึงย่อยได้ง่ายกว่า (ไขมันชนิดอื่นเป็นกรดไขมันสายยาว ต้องใช้เอ็นไซม์จากตับอ่อนเป็นตัวช่วยย่อย) และถูกส่งไปที่ตับโดยตรงเพื่อสร้างพลังงาน ทำให้ไม่ไหลเวียนในเส้นเลือดและสะสมตามเซลล์ไขมันเหมือนไขมันชนิดอื่นๆ ยังให้พลังงานได้มากกว่า ทำให้อิ่มเร็วขึ้นและอิ่มนาน ผลคือรับประทานอาหารน้อยลง เพียงแค่ เปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่นๆที่ใช้อยู่เป็นประจำ จะทำให้นน.ลดลงได้หลายกก.ใน 3 เดือน การควบ คุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนักด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าว จึงต้องกระทำด้วยสามัญสำนึกของการลดนน. คือต้องออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการรับประทานคาร์โบไฮเดรท โดยเฉพาะน้ำตาลฟอกขาว ข้าวขัดขาว ขนมปังขาว และควรรับประทานผักสดและผลไม้สดให้มาก
 
เอกสารอ้างอิง
 
- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น (Virgin coconut oil) มีการผลิตและจำหน่ายแพร่หลายในท้องตลาด โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปิน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย / Marina AM, Che Man YB, Amin I. Virgin coconut oil: Emerging functional food oil.  Trends in Food Science & Technology.  2009; 20: 481-7.

- น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว 90% (saturated fatty acid) ซึ่งเป็นกรดลอริค (Lauric acid) 45-48% และเป็นกรดไขมันชนิดสายสั้น และสายกลาง 30-36% / Wang LL, Yang BK, Parkin KL, Johnson EA.  Inhibition of Listeria monocytogenes by monoacylglycerols synthesized from coconut oil and milkfat by lipase-catalyzed glycerolysis.  Journal of Agricultural and Food Chemistry.  1993;41:1000-5.

- ผลของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นต่อเชื้อจุลชีพ พบว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรีย สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ได้ 95% / Verallo-Rowell VM, Dillague KM, Syah-Tjundawan BS.  Novel antibacterial and emollient effects of coconut and virgin olive oils in adult atopic dermatitis.  Dermatitis.  2008;19:308-15.

- กรดไขมันลอริคในน้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียลิสทีเรีย โมโนไซโตจิเนส (Listeria monocytogenes) / Wang LL, Yang BK, Parkin KL, Johnson EA.  Inhibition of Listeria monocytogenes by monoacylglycerols synthesized from coconut oil and milkfat by lipase-catalyzed glycerolysis.  Journal of Agricultural and Food Chemistry.  1993;41:1000-5.

- ฤทธิ์ในการต้านเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ไนเกอร์ (Aspergillus niger) / Rihakova Z, Filip V, Plockova M, Smidrkal J, Cervenkova R.  Inhibition of Aspergillus niger DMF 0801 by monoacylglycerols prepared from coconut oil.  Czech-Journal-of-Food-Sciences-UZPI.  2002;20:48-52.

- เชื้อราตระกูลแคนดิดา (Candida spp.) / Ogbolu DO, Oni AA, Daini OA, Oloko AP.  In vitro antimicrobial properties of coconut oil on Candida species in lbadan, Nigeria. J Med Food.  2007;10:284-7.

- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ในทางการแพทย์ โดยมีการใช้น้ำมันมะพร้าวในการบรรเทาอาการจากแผลไฟไหม้ (Burn wound) / Chaichit C.  Thai Herbs and Herbal Products.  Bangkok: Srimuang Printing Co.; 2004.

- น้ำมันมะพร้าวจะมีบทบาทช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย พบว่ากรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของโมโนลอรินที่มีบทบาทในการ เพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Immune cell proliferation) / Witcher KJ, Novick RP, Schlievert PM.  Modulation of immune cell proliferation by glycerol monolaurate.  Clin Diagn Lab Immunol.  1996;3:10-3.

- น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทในการต้านการอักเสบ (Anti-inflammation) ลดอาการปวด (Analgesic) ลดไข้ (Antipyretic) / Intahphuak S, Khonsung P, Panthong A.  Anti-inflammatory, analgesic, and antipyretic activities of virgin coconut oil.  Pharm Biol.  2010;48:151-7.

- น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณแผลที่ผิวหนังในหนูทดลองจะพบว่าช่วยลดระยะเวลา ในการหายของแผลให้เร็วขึ้น และพบว่ามี Pepsin soluble collagen เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีการสานต่อของเส้นใยคอลลาเจนและ มีการทำงานของ Glycohydrolase สูงขึ้น แสดงถึงอัตราการผลัดเซลล์คอลลาเจน (Turnover of collagen) ที่สูงขึ้น น้ำมันมะพร้าวจะพบว่ามีการเพิ่มจำนวนของไฟโบรบลาส (Fibroblast proliferation) และมีการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Neovascularization) เกิดขึ้น / Nevin KG, Rajamohan T.  Effect of topical application of virgin coconut oil on skin components and antioxidant status during dermal wound healing in young rats. Skin Pharmacol Physiol.  2010;23:290-7.

สรรพคุณมะพร้าวในตำราแพทย์ไทย

สรรพคุณมะพร้าวในตำราแพทย์ไทย



  1. ลดไข้   วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น    ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง

  2. แก้ร้อนใน   
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในตอนเช้าให้หมด  และในตอนบ่ายดื่มอีกลูกหนึ่งจนหมด   กินเนื้อด้วยก็ได้

  3. แก้ท้องเสีย  
ใช้รากมะพร้าวล้างสะอาด   3 กำมือ   ทุบพอแตกต้มน้ำ  5  แก้ว  เคี่ยวเอา  2  แก้ว   ดื่มครั้งละ  ครึ่งแก้ว   เช้า  กลางวัน  เย็น

  4. แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ   น้ำมะพร้าวเคี่ยวให้ร้อน   เอาผักเสี้ยนผีล้างสะอาดสับเคี่ยวด้วยกัน   ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม   เพิ่มพลังแทรกซึมของตัวยานวด   แก้ปวดเมื่อย   ช้ำบวม   อักเสบ

  5. แผลเรื้อรัง   เอากะลามะพร้าวถูตะไบ  ได้ผงละเอียดผสมกับน้ำมันมะพร้าวแรกพิมเสนเล็กน้อย   ทาแผลเรื้อรัง  เช้า  กลางวัน  เย็น  ทาบ่อย ๆ

  6. แก้จุกเสียด   แน่นท้อง   เอากะลามะพร้าวเผาไฟให้เป็นถ่าน  มาบดเป็นผงละเอียด  ละลายน้ำอุ่น   ดื่ม   แก้จุกเสียดแน่นท้องได้  ดื่มสัก  1-2  ช้อนโต๊ะ

  7. โรคหัดหลบใน   ใช้กะลามะพร้าว   เผาไฟให้เป็นถ่านแดง   ใส่ลงในน้ำสะอาด  1  ชามแกง  สักพักหนึ่ง  รินเอาน้ำใส ๆ  ดื่มสัก  2  ช้อนโต๊ะ   เช้า  กลางวัน   เย็น   อาการโรคหัดจะดีขึ้นเรื่อย ๆ

  8. รักษาเกลื้อน   เอากะลามะพร้าวแก่จัดที่ขูดแล้ว  ที่มีรู   มาใส่ถ่านไฟแดง ๆ  จะทำให้เกิดน้ำมันมะพร้าวไหลออกมา   เอาน้ำมันนี้มาทาโรคเกลื้อนได้ดีเยี่ยม   ทาทิ้งไว้  7 วัน ล้างออกยากจะติดแน่นอยู่   เกลื้อนจะค่อย ๆ  หาย

  9. แก้ปวดฟัน   เอากะลามะพร้าวแก่จัด  มีรู   ขูดเอาเนื้อออกใหม่ ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป   รองน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมาเก็บใส่ขวด   ปิดแน่นไว้    ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันมะพร้าวอุดรูฟันที่ปวด   อย่าให้สัมผัสเหงือกหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ  จะเกิดความชาได้

  10.เล็บแตก   เอาน้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามะพร้าว  เหมือนข้างต้น  ใส่แผลที่เกิดกับเล็บ   เล็บแตก   เล็บหลุด   แผลที่ซอกเล็บ

  11.คางทูม   เอาน้ำมันมะพร้าวทางบริเวณคางทูมบ่อย ๆ  วันละ  2-3  ครั้ง  ทางบาง ๆ  2-3  วัน   อาการคางทูมจะดีขึ้น

  12.ดีซ่าน   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ   1  ผล   เช้า   กลางวัน  เย็น  ทุกวัน   เพียง  2  วัน  ก็หายได้

  13.แผลเป็น   ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากกะลามะพร้าวเผาไฟถ่าน  ทาที่แผล ๆ จะหายไปในไม่กี่วัน   เมื่อแผลหายจะไม่เป็นแผลเป็น

  14.แก้คลื่นไส้อาเจียน   เอามะนาว  1  ซีก   บีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน   ดื่มแก้อเจียนได้ดี

  15.แก้ตาอักเสบ   เอาน้ำมะพร้าวอ่อน  1 ถ้วย  ผสมน้ำตาลทรายแดงให้หวานจัด ๆ  เอาไว้ดื่มวันละ  2  ครั้ง   เช้า – เย็น   อาการอักเสบของดวงตาจะค่อย ๆ  หายไปเองในที่สุด

  16.แก้โรคบิด   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ  1  ผล  เช้า  กลางวัน  เย็น  แก้โรคบิดได้ดีมาก

  17.บำรุงผิวพรรณ   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ  4-5  ผล  ช่วยบำรุงผิวพรรณ   แก้เม็ดผดผื่นคัน   บำรุงร่างกายให้สดชื่น

  18.แก้ปัสสาวะขัด   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน  ครั้งละ  1  ผล  เช้า  กลางวัน  เย็น

  19.แก้ปวดศีรษะ   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน   ไม่ช้าไม่นานก็หายปวด

  20.แก้พิษเบื่อเมาได้ดี   ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน  1 ลูก   ไม่กินเนื้อ  อีก  2-3 ชั่วโมงดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็น ๆ  เข้าไปอีก   แก้วิงเวียน  เมา  ปวดท้อง  ปวดไส้  ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี

  21.แก้เมาเหล้า   เอาน้ำมะพร้าวอ่อนไม่ต้องแช่เย็น   ดื่มแก้เมา   แก้อาเจียน  จากเหล้าได้ดี

  22.แก้ไอ   เอาน้ำมะพร้าวห้าวมาดื่ม  จะมีสรรพคุณรักษาอาการไอได้ดีมาก  ดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น

  23.แก้ชันนะตุพุพอง   น้ำมันมะพร้าวผสมเหง้าขมิ้นชัน   สารส้มเล็กน้อย  ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุ   หรือเพียงใช้น้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียวก็ได้ผลดีเช่นกัน

  24.แก้รังแค   ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด   เคี่ยวได้น้ำมันมะพร้าวใหม่ ๆ  ให้เย็นลง   ทาศีรษะ  30  นาที  แล้วสระออกด้วยแชมพู  ใช้เพียงสัปดาห์ละ  2  ครั้งก็เพียงพอแล้ว

  25.น้ำกัดเท้า   เอาน้ำมันมะพร้าวผสมกับสารส้ม  น้ำปูนใส  และเกลืออย่างละเล็กน้อยกวนคนผสมกันให้ดี  เอามาทาแผลทันที  บ่อย ๆ จะหายเร็วขึ้น

  26.แก้ผื่นคัน   เอา เนื้อมะพร้าวขูดเคี่ยวน้ำมันออกมา   แล้วเอากากที่เหลือเคี่ยวไปด้วยกันอย่าทิ้ง   จนไหม้เกรียมดำ  แล้วเอาน้ำมะพร้าวนี้  ซึ่งมีเนื้อมะพร้าวขูดที่ไหม้ไปใช้ประโยชน์ได้

  27.ฝ่ามือแห้งแตกและเล็บขบ   ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวใหม่ ๆ  มาใช้ได้ดีหรือใช้น้ำมันมะพร้าว   ที่ได้จากการเผากะลามีรูจากถ่านไฟก็ได้   ทาเช้า  กลางวัน  เย็น  หรือหยอดเล็บขบ   จะหายเร็วและไม่ปวด

  28.แก้เบาหวาน   เอามะพร้าวแก่  ขูดเอาเนื้อคั่วให้เหลือง  หอม  กรอบ  โรยเกลือเล็กน้อย  ใส่ขวดปิดฝาแน่น  รับประทานครั้งละ  1 ช้อนแกง  เช้า  กลางวัน  เย็น  สัก  10-15  วัน  ระดับน้ำตาลจะลดลงเรื่อย ๆ

  29.แก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล  ( จากมะพร้าวแก่ ) ครั้งละ 5-10 นาที  2-3  วัน

  30.แผลสด   ใช้เนื้อมะพร้าวขูดมาใส่แผลสด   เอาผ้าพันไว้  เปลี่ยนยาวันละ  2  ครั้ง  เช้า  เย็น

  31.แผลไฟไหม้  น้ำร้อนลวก   ใช้มะพร้าวกะทิปิดแผลไฟไหม้  น้ำร้อนลวก   ใช้ได้ดีที่เดียว

  32.แก้ไข้ทับระดู   เอาจั่นมะพร้าวหรือทะลายดอกมะพร้าว  ที่ยังคงมีกาบหุ้มอยู่ต้มน้ำดื่ม  เช้า  กลางวัน  เย็น  อาการไข้ทับระดูจะค่อย ๆ หายไป   ชาวบ้านบางคนใช้รากก็ได้ผล

  33.ลำไส้อักเสบ   เอาเปลือกมะพร้าวมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ  ต้มน้ำดื่ม   รับประทานต่างน้ำ   ลำไส้อักเสบ  จะค่อย ๆ  ทุเลาลง   จนกระทั่งหายในที่สุด ( ควรใช้เปลือกมะพร้าวห้าว  มะพร้าวแก่หรือมะพร้าวแห้ง )
 
  34.แก้อีสุกอีใส   ใช้ใบมะพร้าวต้มดื่ม   แก้อีสุกอีใสได้

  35.เคืองตา   ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนสด ๆ  แปะที่ดวงตา   อาการเคืองตาจะทุเลาลงและหายไปได้

เอกสารที่เกี่ยวข้อง
-  กลุ่มงานพัฒนาวิชาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร  สถาบันการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  การบรรยายประชุม
   วิชาการ เรื่อง  บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพและความงาม   โดย   ดร.ณรงค์   โฉมเฉลา
-  สำนักงานข้อมูลสมุนไพร  คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล  จุลสารข้อมูล  สมุนไพร  ปีที่  24  /  ตุลาคม  2549
-  องค์การเภสัชกรรม น้ำมันมะพร้าวบทบาทต่อสุขภาพและความงาม โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต    

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มาทำความรู้จักโกรทฮอร์โมน HGH/Human growth hormone

มาทำความรู้จักโกรทฮอร์โมน HGH/Human growth hormone

โกรทฮอร์โมน หรือ HGH (Human Growth hormones) ฮอร์โมนแห่งการเจริญวัย



โกรทฮอร์โมน หรือ HGH เป็นฮอร์โมนที่หลังมาจากต่อมไร้ท่อ สร้างจากต่อมพิทูอิทารีภายใต้สมองของเรา เป็นฮอร์โมนแห่งการเจริญวัย ได้รับฉายาว่า “น้ำพุแห่งความหนุ่มสาว” HGH มีโปรตีนที่มีกรดอะมิโนอยู่มากมายถึง 191 โมเลกุล ฮอร์โมนนี้จะหลั่งได้ตลอดชีวิตของเรา แต่ในแต่ละช่วงอายุก็จะหลั่งได้ไม่เท่ากัน โดยระดับการหลั่งจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษในช่วงวัยเจริญเติบโตหรือวัยเจริญ พันธุ์และเริ่มน้อยลงเมื่อเข้าสู่วัยชรา และจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆในการดำเนินชีวิต (เช่น โภชนาการอาหาร ความเครียด การนอนหลับ การออกกำลังกาย น้ำหนัก) ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับโกรทฮอร์โมนในร่างกายของเรา
จากการวิจัยพบว่า มีการหลั่งฮอร์โมน HGH ลดลงถึง 14% ในทุกๆ 10 ปีเลยทีเดียว ฮอร์โมนนี้แตกต่างจากฮอร์โมนชนิดอื่น เนื่องจากสามารถกระตุ้นทุกระบบในร่างกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีการเผาผลาญกิจกรรมของสมองและระบบการย่อยสลาย ฮอร์โมนนี้จึงมีผลต่อความอ่อนเยาว์ ความกระฉับกระเฉงของร่างกายเรานั่นเอง

HGH มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของร่างกายเรา โดยเฉพาะวัยเด็กที่ต้องการการเจริญเติบโตมากเป็นพิเศษ ฮอร์โมนนี้ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของกระดูกให้แข็งแรงจนกระทั่งถึงช่วง อายุ 25 ปี เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น หากร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนนี้มาก จะทำให้เด็กเติบโตสูงสมวัย ไม่แคระแกร็น ช่วยเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่น เสริมสร้างภูมิต้านทาน การพัฒนาการด้านสมอง คงความหนุ่มสาวและยังช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย
นอกจาก HGH แล้ว ในต่อมไร้ท่อยังผลิตฮอร์โมนตัวอื่นๆอีกมากมาย ดังนี้
1.ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone Hormone) เป็นฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตจากต่อมไฮโปทาลามัส ที่ไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน จีเอ็น อาร์ เอช เพื่อไปกระตุ้นต่อมลูกหมากให้สร้างฮอร์โมนนี้ขึ้นมา ฮอร์โมนนี้จะมีการหลั่งมากสุดในช่วงเช้า ตี5 ถึง 7โมงเช้า ในเพศชายจะมีการลดลงเมื่อเข้าสู่อายุในช่วง 40-47 ปี จะลดลง 1% ในทุกๆปี ช่วงอายุนี้นั้นเองคือการเข้าสู่วัยทองในเพศชาย ประโยชน์ของฮอร์โมนนี้คือ ช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ ควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ผิวหนัง กระดูก เม็ดเลือดและอวัยวะเพศ แม้กระทั่งการเจริญเติบโตของหนวดเครา เส้นผม เสริมการทำงานของสมอง ด้านสติปัญญา ความสามารถในการเข้าใจและการเรียนรู้ HGHมีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมฮอร์โมนนี้ จะสังเกตได้ว่า หากเราแก่ลง เมื่อผลิต HGH ได้น้อยลง ทำให้ร่างกายเรื่องเสื่อมสมรรถภาพ ผู้ชายจะเริ่มขาดฮอร์โมนนี้ และอาจพบปัญหาต่อมลูกหมากโตตามมาได้

2. ฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen หรือ Oestrogen) เป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญที่สุดของเพศหญิง ผลิตจากรังไข่ ในเพศชายสามารถผลิตได้จากต่อมลูกหมากเช่นกัน แต่มีปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้มีหน้าที่ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง มีเต้านม มีผิวพรรณนุ่มนวล เตรียมพร้อมสำหรับความเป็นเพศแม่ ฮอร์โมนตัวนี้มีผลกับทุกระบบในร่างกาย ช่วยเรื่องการควบคุมสมอง ในผู้หญิงวัยทองหรือสตรีที่มีการหมดประจำเดือนเป็นเวลานานกว่า 1 ปี หรือช่วงอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ซึ่งมักจะขาดฮอร์โมนตัวนี้ ทำให้มีอาการร้อนๆ หนาวๆ วูบวาบ ไม่สบายตัว หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ดังนั้นเมื่อไปพบแพทย์จึงมักให้รับประทานฮอร์โมนตัวนี้เสริมเพื่อรักษาอาการ วัยทอง นอกจากนี้ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่าง กายให้สมบูรณ์ สร้างความชุ่มชื่นให้แก่ช่องคลอดรวมทั้งบำรุงเส้นผมและผิวพรรณ อีกทั้งยังลดปัญหากระดูกพรุนได้อีกด้วย ฮอร์โมนตัวนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับระดับ HGH เช่นเดียวกัน หาก HGH ลดต่ำ ก็จะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล ส่งผลให้เข้าสู่วัยทองอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดปัญหาวัยทองหลายๆด้าน

3.  ฮอร์โมนคอร์ปัส ลูเทียม (Corpus Luteum Hormone) เป็นฮอร์โมนของเพศหญิงที่สำคัญตัวหนึ่ง เนื่องจากฮอร์โมนตัวนี้ช่วยกระตุ้นการเจริญของเยื่อบุชั้นในของมดลูก เมื่อระหว่างที่มีประจำเดือน จะช่วยให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ช่วยให้มดลูกเตรียมพร้อมที่จะให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัว พร้อมสำหรับตั้งครรภ์ มดลูกมีการขยายตัวหรือเมื่อตั้งครรภ์แล้วจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณหน้า อกขยายใหญ่ขึ้น กระตุ้นให้ต่อมน้ำนมน้ำนมเจริญมากขึ้น จะรู้สึกคัดที่บริเวณเต้านม เต้านมขยายใหญ่ขึ้น ฮอร์โมนตัวนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมในผู้หญิงวัยทองได้ อีกด้วย

4. ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid Gland Hormone) ฮอร์โมนไทรอยด์จากต่อมไร้ท่อตัวนี้ หลายคนอาจจะคุ้นชื่ออยู่บ้างกับชื่อโรคไทรอยด์ ต่อมนี้จะอยู่บริเวณหน้ากระดูกคอ อยู่ด้านหน้าของกล่องเสียงติดกับบริเวณคอหอย เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะเป็น 2 พูเชื่อมด้วยคอคอดหรืออิสมัส (isthmus) ที่ตรงกลาง ฮอร์โมนตัวนี้สามารถดึงไอโอดีนจากกระแสเลือดให้เจ้าสู่เซลล์ได้ ในเด็กทารกช่วยควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของสมอง ช่วยควบคุมอวัยวะต่างๆและเนื้อเยื่อเจริญเติบโตและกลไกการเผาผลาญพลังงานของ เซลล์ให้เป็นปกติ หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้มีพัฒนาการช้าลง ร่างกายขาดสมดุล อาจอ้วนขึ้น ผิวพรรณและเส้นผมแห้ง ไม่แข็งแรงหรือมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

5. เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่ผลิตมาจากสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เซลล์ไพเนียล (Pinealocytes) หลั่งมาจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลาง ฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่คล้ายยานอนหลับ ทำหน้าที่ช่วยประสานงานกันระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายเรา ช่วยให้หลับสนิท คนที่ขาดการพักผ่อนมักจะขาดฮอร์โมนตัวนี้ เมื่อสมองได้รับการพักผ่อน จะมีประสิทธิภาพในการทำงาน ลดอาการอ่อนเพลีย อีกทั้งฮอร์โมนตัวนี้สามารถต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสื่อมในเซลล์และของเสียจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ในคนที่เดินทางบ่อยๆ ฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากการข้ามช่วงเวลา หรืออาการ Jet lag ได้

6. อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกาย ผลิตจากเซลล์ตับอ่อน ชนิด ไอซ์เลท ออฟ แลงเกอแฮน (Islets of Langerhans) หรือเบต้าเซลล์ ทำหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากในกระแสเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานและควบคุมน้ำตาลส่วนเกินใน ตับไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมพลังงานในรูปของไกลโคเจน (Glycogen)ที่ตับ หากขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายขาดประสิทธิภาพ ในการนำน้ำตาลมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และอาจมีการสลายสารอาหารโปรตีนและไขมันผิดปกติร่วมอีกด้วย ช่วยให้เซลล์ดูดซึมกลูโคสที่เกิดจากการเผาผลาญอาหาร

7. สเตรียรอยด์ (Dehydroepiandrosterone หรือ DHEA) เป็นฮอร์โมนที่มีมากที่สุดจากต่อมหมวกไต จัดเป็ฯกลุ่มฮอร์ดมนที่ช่วยชลอความแก่ได้เช่นกัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานร่างกายจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ช่วยควบคุมการทำงานของตับและอวัยวะต่างๆ ปรับสมดุลความดันโลหิตและช่วยสร้างฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ช่วยต้านการเกิดมะเร็งและลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้

ฮอร์โมนต่างๆจากต่อมไร้ท่อเหล่านี้ช่วยทำให้ร่างกายเราแข็งแรง ปรับความสมดุล และอีกคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้คือ ช่วยในเรื่องการชลอความแก่ได้ด้วย โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เด่นในเรื่องนี้ที่สุดคือ HGH นั่นเอง จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น การหลั่งโกรทฮอร์โมน HGH จะลดลง เช่น เมื่อ อายุ 21 ปี ระดับฮอร์โมน HGH จะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องจนเมื่อย่างเข้าอายุ 40 ปี ระดับของฮอร์โมนนี้จะต่ำลงจนไม่สามารถมีบทบาทในการควบคุมการทำงานของเซลล์ใน ร่างกายส่วนต่างๆ เช่น ผิวหนัง เนื้อเยื่อสมองและอวัยวะสำคัญส่วนอื่นๆ เมื่ออายุ 70 ปี อวัยวะต่างๆในร่างกายจะมีการทำงานที่ลดลงไปอีก ถึง 30% เช่น สมอง ตับ หัวใจ เสื่อมสมรรถภาพไปตามกาลเวลา ทั้งความสามารถในการทำงาน ภูมิต้านทานในการป้องกันตนเองจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมภายนอกลดลง การผลิตฮอร์โมนต่างๆ โดยเฉพาะ HGH ลดลงอย่างมา จนเมื่ออายุเข้า 90 ปี อวัยวะบางส่วนเริ่มทำงานไม่ปกติหรือหยุดการทำงาน สมองฝ่อหดเล็กลงเหลือขนาดเท่าเด็กอายุ 3 ปี ระบบประสาทต่างๆเสื่อมลง

จากการวิจัยทดลองพบว่า หากได้รับสารอาหารที่บำรุงการให้สามารถหลั่ง HGH ได้สูงเป็นเวลาติดต่อกันนาน 6 เดือน จะทำให้ร่างกายเราได้รับฮอร์โมน HGH ที่เพียงพอและจะทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ต้านทานโรคต่างๆได้ดี คืนความเป็นหนุ่มสาวได้ถึงอย่างน้อย 10 ปีเลยทีเดียว

สัญญาณแห่งความชรา…หาก HGH เริ่มลดลง?

ร่างกายคนเราเริ่มผลิตโกรทฮอร์โมน HGH จากต่อมใต้สมอง ในช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปี ได้สูงที่สุดเพื่อให้สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของร่างกาย เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา ปริมาณ HGH จะสูงขึ้นมากที่สุด และจะเริ่มลดลงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเด็กตามลำดับ พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ฮอร์โมน HGH จะกลับมามากขึ้นอีกครั้ง ฮอร์โมนนี้จะหลั่งในขณะที่เรานอนหลับ ช่วยกระตุ้นการยืดตัวทำให้สูงขึ้น แต่วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะนอนดึกหรือทานอาหารที่มีประโยชน์น้อย ทำให้การหลั่งฮอร์โมนนี้ไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการนัก เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป การหลั่งฮอร์โมน HGH จะลดลง 40 % ของฮอร์โมนที่หลั่งในคนอายุ 20 ปี ในบางรายอาจจะไม่มีการหลั่งฮอร์โมนออกมาเลยก็ได้ เมื่อร่างกายขาดฮอร์โมนนี้ ทำให้เสียความสมดุล การทำงานของอวัยวะต่างๆลดลง อ่อนแอ และทำให้เกิดโรคต่างๆได้ง่าย และที่สำคัญคือ ความชราจะเริ่มตามมานั่นเอง

ความแก่ชราเกิดจากอะไร….

ความชรานั้น นอกจากจะมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว อาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันที่เป็นตัวเร่งให้เกิดความชรา ขึ้นได้เร็วขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า ทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น หรือ กินอะไรย่อมได้อย่างนั้น เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ทั้งการทำงาน การรับประทานอาหาร แม้กระทั่งการนอน ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดความชราทั้งสิ้น บางคนชอบรับประทานแอลกอฮอล์มากเกินไปหรือติดสิ่งเสพติด เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ช่วยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัยอันสมควรได้ หรือเกิดจากการที่ขาดการออกกำลังกาย ความเครียดจากการทำงาน การใช้ยาที่มากเกินขนาด แม้แต่ปัญหาครอบครัว ทำให้สุขภาพจิตเสีย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความชราเร็วได้ทั้งสิ้น

จะรับมืออย่างไรกับความชราที่เกิดขึ้น..

ความชรานั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราจะรับมือกับความชราได้อย่างไร คนเรามักมีความกลัวการที่ต้องเสียชีวิตจากความชราหรือการเป็นคนแก่ที่โดนทอด ทิ้ง ต้องกลายเป็นคนไร้ค่า เมื่อคนเราเริ่มเข้าสู่วัยชรา สิ่งเหล่านี้มักมาพร้อมกับวัยชราเสมอ นั่นคือความเจ็บป่วย โรคต่างๆมักจะมารุมเร้ามากมาย เช่น โรคกระดูก โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง ความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ เป็นต้น อีกทั้งสิ่งกระตุ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันช่วยให้โรคเหล่านี้เกิดได้เร็ว ขึ้นอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้เราสามารถป้องกันได้ด้วยการเข้าใจในความชราอย่างถูกต้อง ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ ถูกสุขอนามัย ป้องกันตัวตั้งแต่ยังไม่เกิด จะทำให้มีอายุยืนยาวอีกหลายปี ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆ คนเรานั้นหลีกหนีความตายไม่ได้ แต่สามารถชะลอความชราและมีความสุขไปกับการชราอย่างมีคุณภาพได้แน่นอน

วิธีชะลอความชรา
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้วิทยาการทางการแพทย์พัฒนามากขึ้น มีการค้นพบการรักษาโรคและตัวยาใหม่ๆเพื่อป้องกันและรักษาโรค รวมถึงการชะลอความแก่ชรา แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยและการใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาและรักษา ควบคู่ไปด้วย เชื่อกันว่า การที่บางคนดูแก่ก่อนวัยอันสมควรหรือดูเด็กกว่าวัยนั้น แสดงว่า บางครั้งหน้าตากับอายุอาจจะไม่ตรงกับความจริงได้ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า การฟื้นฟูความเป็นหนุ่มเป็นสาวและความชรานั้นสามารถรักษาได้ง่ายกว่าโรค อื่นๆ มีการศึกษามากกว่า 28,000 ชิ้น ถึงผลของ Human Growth Hormone (HGH) หรือโกรทฮอร์โมนที่มีผลช่วยฟื้นฟูความหนุ่มสาวและชะลอความชรา ในการทดลองกับกลุ่มคน โดยให้ใช้ HGH ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน มีการชะลอความชราได้ 10-20 ปีเลยทีเดียว โดยการสังเกตเซลล์เนื้อเยื่อที่มีการสร้างเพิ่มขึ้นใหม่และมีมวลไขมันลดลง จึงสรุปได้ว่า HGH นั้นสามารถช่วยชะลอความชราได้ และมีความปลอดภัยสูงเนื่องจากผ่านการทดสอบและวัดผลทางการแพทย์แล้ว

เมื่อร่างกายเรามีการหลั่ง HGH ลดลง ความชราก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตจากอาการเริ่มแรก คือ มีผมขาวหรือผมหงอกก่อนวัย พลังงานเริ่มลดน้อยลง สมรรถภาพในการทำงานถดถอย เหนื่อยง่าย ขยับร่างกายไม่กระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อน มีความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ไขมันก่อตัวเพิ่มขึ้น กระดูกพรุน เริ่มตรวจพบโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดต่างๆ เป็นต้น  แต่อาการเหล่านี้อาจพบได้ในคนวัยหนุ่มสาวที่มีการขาดโกรทฮอร์โมนเช่นกัน เมื่อคนเราอายุมากขึ้น การผลิตโกรทฮอร์โมนหรือ HGH ลดลง ถึง 40% ของคนอายุ 20 ปี โกรทฮอร์โมนนั้นจะผลิตในขณะที่เรานอนหลับ มีการหลั่งในชั่วโมงแรกหลังจากที่หลับสนิท และจะถูกส่งไปยังตับเพื่อเปลี่ยนเป็นสารคล้ายอินซูลิน (Insulin like growth factor-1 หรือ IGH-1) หรือโซมาโตเมดิน (Somatomedin) นำไปใช้ในร่างกายเพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อนั่นเอง จากการวิจัยจากวารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England) พบว่า การทดลองให้คนอายุ 65 ปี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือได้รับ HGH และไม่ได้รับ HGH ผลคือกลุ่มที่รับ HGH ทำให้ผมที่เคยหงอกลดลง เริ่มกลับมาดกดำขึ้น ในบางรายมีการลดลงของรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและตามร่างกาย อีกทั้งมีสมรรถภาพทางเพศที่เพิ่มขึ้นด้วย ความเสื่อมจากความชราลดลง ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับ HGH จะมีความชราตามปกติโดยไม่มีการฟื้นฟูที่ดีขึ้น

มีรายงานจากโรงพยาบาล St.Thomas กรุงลอนดอน พบว่าการให้คนไข้ที่เป็นโรคคุชชิ่งซินโดรม (Cushing’s Syndrome) ที่มีอาการของโรคหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure) ที่มีอาการทรุดลงจนต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจเนื่องจากไม่เคยได้รับการรักษา ใดๆมาก่อน ได้รับ HGH ผลที่ได้คือหัวใจเริ่มกลับมาเต้นเป็นปกติและมีการไหลเวียนของระบบเลือดดี ขึ้น อาการของผู้ป่วยดีขึ้นเรื่อยๆใน 3 เดือนและไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจอีก

การค้นพบเหล่านี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางการแพทย์อีกทางหนึ่ง เนื่องจากเกือบทุกรายที่รับการทดลองด้วยการรับ HGH เพิ่ม จะมีร่างกายที่ดีขึ้น มีพลังงานและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มีความกระฉับกระเฉง รู้สึกสดชื่นขึ้นในเพียงสัปดาห์แรกที่ได้รับ HGH และมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใน 6 เดือนต่อมา สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า HGH มีความสำคัญในการต้านความชราและโรคภัยไข้เจ็บได้ เนื่องจาก HGH เป็นสารที่ช่วยลดความเสื่อมในร่างกาย ช่วยต่อสู้ความชรา เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น โปรตีนในเซลล์จะมีความเสื่อมเพิ่มมากขึ้น สารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ ช่วยปกป้องเซลล์โดยการกำจัดสารที่ทำลายโปรตีน จึงช่วยฟื้นฟูร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติ มีพลังชีวิตและการทำงานของสมองที่เพิ่มขึ้น เร่งสร้างเนื้อเยื่อเพื่อให้คงความเป็นหนุ่มสาวและคงความมีอายุยืนนานไว้

นอกจากนี้ HGH ยังมีความพิเศษอีกมากมาย ดังนี้

HGH กับผลด้านจิตใจ
ฮอร์โมนนี้ช่วยปรับอารมณ์และเสริมความแข็งแกร่งด้านจิตใจ โกรทฮอร์โมนมีส่วนช่วยเพิ่มพลังงาน ทำให้เราหลับได้สนิท เมือตื่นนอนก็สดชื่น พร้อมทำงานในวันรุ่งขึ้น รู้สึกสงบเยือกเย็นลง จากรายงานของ Johannsson พบว่า โกรทฮอร์โมนมีผลต่อสารสื่อประสาท (Neuro-transmitter) เช่น B-Endorphin ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารระงับความปวดที่ดี ลดระดับของโดพามีน (Dopamine) ที่มีผลต่อความุรนแรงของอารมณ์
HGH มีผลคล้ายยาแก้ซึมเศร้า (Anti-depressant) และไม่มีผลข้างเคียง ช่วยลดความเครียด มีสมาธิมากขึ้น ฟื้นฟูความจำและเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ จากการศึกษาของนายแพทย์ Jan Berend Deijiem และกลุ่มวิจัยชาวดัทช์ พบว่าโกรทฮอร์โมนมีผลช่วยในเรื่องความจำ หากขาด HGH ไป จะทำให้มีการด้อยพัฒนาในส่วนของความจำระยะสั้นและระยะยาว ความสามารถของระบบประสาทตาและความสัมพันธ์การทำงานของมือจะแย่ลง ในผู้ป่วย ถ้ามี IGF-1 ลดน้อยลง จะทำให้มีผลต่อการรับรู้และสติปัญญาได้

HGH กับผลทางด้านกล้ามเนื้อ
HGH ช่วยเพิ่มความสามารถทางด้านกล้ามเนื้อ ช่วยเสริมกล้ามเนื้อและเพิ่มความคงทน ในการการออกกำลังกาย ความอึดของร่างกายมีมากขึ้น วารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England) มีการศึกษาในคนอายุ 60-80 ปี พบว่า มีการเพิ่มของกล้ามเนื้อ ทั้งปริมาณและความหนาแน่น นายแพทย์ L. Cass Terry กล่าวว่า HGH สามารถลดไขมันได้ภายใน 2 เดือน 88% ของผู้ที่ได้รับ HGH พบว่าช่วยเพิ่มขนาดและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ทำให้ทนทำงานหนักและออกกำลังกายได้นานขึ้นและทนต่อแรงกดดันจากการทำงานได้ดี ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ก็มีอาการดีขึ้น จากที่ต้องนั่งรถเข็น หรืออยู่แต่ในบ้าน ก็สามารถออกมาข้างนอกได้มากขึ้น มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อดี ป้องกันโรคข้อเสื่อมก่อนวัย ผู้สูงอายุสามารถยืนได้เอง
ในนักกีฬา HGH lมารถช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อจากการเล่นกีฬาได้ ทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในผู้สูงอายุที่มีอาการของโรคความดันโลหิตสูงและกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ การได้รับโกรทฮอร์โมนเพิ่มนั้น ช่วยฟื้นฟูและป้องกันโรคต่างๆเหล่านี้ได้อีกด้วย

HGH กับผลด้านสมรรถภาพทางเพศ
ชายสูงอายุ 80 ปี จะประสบปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ถึง 85% โดยการศึกษาค้นคว้าของ L. Cass Terry และ Edmune Chein โดยศึกษาจากคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศ 1,290 คน พบว่า 2 ใน 3 ของผู้รับการบำบัด เมื่อได้รับ HGH จะมีสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น แสดงว่า HGH มีผลต่อสมรรถภาพทางเพศในทั้งหญิงและชาย

HGH กับผลด้านไขมันและมวลกล้ามเนื้อ
HGH มีผลในการช่วยลดไขมันและช่วยลดน้ำหนัก ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ในบางรายเมื่อได้รับ HGH จะน้ำหนักไม่ลดแต่ไขมันจะถูกขับออกและมีการสร้างมวลกล้ามเนื้อเข้าไปแทนที่ ในปริมาณที่เท่ากัน ทำให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มขึ้นกว่าแต่ก่อน HGH ช่วยกำจัดไขมันได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย ถ้ามีการเสริมอาหารที่มีเส้นใยในการควบคุมน้ำหนักเพิ่มด้วย จะช่วยเสริมให้ HGH มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างมาก

HGH กับผลด้านผิวพรรณและความเรียบเนียนของผิว
HGH ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นเหมือนดังผิวของคนหนุ่มสาว ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าและตามร่างกาย ลดรอยตีนกา ช่วยฟื้นฟูให้กลับมาหนุ่มสาวได้อีกครั้ง

HGH กับผลด้านกระดูก
HGH มีผลช่วยต้านภาวะกระดูกพรุน เนื่องจาก HGH ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ภาสวะกระดูกพรุนนั้น เราควรมีการป้องกันตั้งแน่เนิ่นๆ เพราะเมื่อเราเข้าสู่วัยชรา ภาวะนี้จะมาด้วยตามวัย นายแพทย์ Gudmundur Johansson มีการทดสอบในกลุ่มคนอายุระหว่าง 23-66 ปี พบว่า มีปัญหาขาด GH อย่างมาก แต่หลังจากได้รับ HGH เพิ่มเป็นเวลา 2 ปี พบว่ามีความหนาแน่นของมวลกระดูกที่เพิ่มขึ้น พบที่กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน มีแคลเซียมในกระดูกมากขึ้น ลดการแตกหักของกระดูกได้ดี GH จะไปกระตุ้นเซลล์กระดูก ชนิด Osteoblast เพื่อทำการสร้างเซลล์กระดูก อีกทั้งยังช่วยให้วิตามินบี 3 เข้าไปจับแคลเซียมเพื่อให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันกระดูกแตกง่ายได้อีกด้วย ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะเพิ่มขึ้นได้เหมือนเดิมภายใน 2 ปี และมีผลดีที่เกี่ยวพันกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ได้ภายใน 1 สัปดาห์

HGH กับผลด้านการป้องกันโรคหัวใจ
HGH ช่วยกระตุ้นการสูบฉีดเลือดของหัวใจ (Cardiac output) ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ออกกำลังกายได้มากขึ้น ลดภาวะความดันโลหิตสูง ปรับสมดุลของคอเลสเตอรอล ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดได้ วารสารทางการแพทย์ นิวอิงแลนด์ (New England) พบว่ามีการเสียชีวิตจากการวูบหมดสติ (Stroke)  ถึง 1.5 ล้านคน หากเราได้รับ HGH เพิ่มจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้มากขึ้น ช่วยลดภาวะความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Pressure) ได้ถึง 10% หลังจากได้รับเพียง 6 เดือน
ด้านการทดลองกับสัตว์ พบว่า HGH สามารถช่วยป้องกันอาการเซลล์ตายหลังจากเกิดการวูบหมดสติหรือหัวใจวาย (Stroke) ได้ เมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้น อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง จะฝ่อเล็กลงได้ เพราะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิม ได้ เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดี ได้รับพลังงานมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงาน ความดันเป็นปกติ เมื่อการเผาผลาญเป็นปกติ การสะสมไขมันในบริเวณหน้าท้องก็จะลดลง ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลต่ำ สุขภาพจะค่อยๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 1 เดือนแรกและต่อเนื่องไปอีก 6 เดือน จนครบ 2 ปี
การได้รับ HGH นั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของหัวใจ จึงลดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดได้ ระดับโคเลสเตอรอลกลับมาเป็นปกติเพราะไปช่วยลดไขมันเลว (LDL) ลง ช่วยเพิ่มไขมันดี (HLD) ลดความดันช่วงล่าง (Diastolic pressure) ได้ถึง 10% ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันน้อยลง จากการวิจัยในวารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England) โดยการทดสอบกับผู้ป่วยโรคหัวใจ 7 ราย พบว่ามีการเพิ่มออกซิเจนให้กับหัวใจ ทำให้ผนังกล้ามเนื้อหนาขึ้นในหัวใจห้องด้านซ้าย (Left Ventricular Wall) สิ่งเหล่านี้ทำให้หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น ผู้ป่วยมีการออกกำลังกายได้มากกว่าก่อนและมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาก

HGH กับผลด้านการทำงานของปอด
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การได้รับ HGH เพิ่มทำให้มีประสิทธิภาพในด้านพลังงานของร่างกายมากขึ้น ทำงานได้มากขึ้น เนื่องจากปอดสามารถทำงานได้ดีขึ้นด้วยนั่นเอง HGH ช่วยเพิ่มอัตราการสูบฉีดเลือดของหัวใจ มีการวิจับจาก David Clemmons หัวหน้าแผนกต่อมไร้ท่อแห่งมหาวิทยาลัย แพทย์ North Carolina พบว่าการเพิ่ม HGH ให้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านการทำงานของปอด ภายใน 3 สัปดาห์ พบว่ามีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การหายใจดีขึ้น อาการเหนื่อยหอบลดลง ในการวิจัยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง พบว่ามีผลที่ดีเช่นกัน

HGH กับผลด้านการเพิ่มพลังงาน
HGH ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน เพราะเมื่อสภาพอารมณ์ทางด้านจิตใจดีขึ้น พลังงานในการทำงานก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ผู้สูงอายุมักจะมี HGH ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกายเสื่อมถอย ส่งผลต่อการทำงาน เมื่อรับ HGH จะช่วยป้องกันเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ ฟื้นฟูอวัยวะที่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาและมีผลทางด้านจิตใจอีกด้วย Dr. Bengtsson ทดสอบกับผู้ป่วยหลังพบว่าได้ผลดี ลดอาการอ่อนเพลียจากใช้ HGH เพียงไม่กี่วันเท่านั้น และมีอาการดีขึ้นภายใน 6 เดือน

HGH กับผลด้านการฟื้นฟูระบบภูมิต้านทานร่างกาย
เมื่อระบบภูมิต้านทานในร่างกายดีขึ้น จะสามารถป้องกันโรคต่างๆที่จะเข้ามาในร่างกายได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป ที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานได้น้อยมากหรืออาจจะไม่มีภูมิต้านทานแล้วก็ตาม สามารถกลับมามีภูมิต้านทานเทียบกับคนอายุ 20 ปีได้ โดย HGH จะไปซ่อมแซมระบบภูมิต้านทาน ปรับสมดุล DHA ช่วยให้หลั่งสารอินซูลินที่มาจากต่อมไร้ท่อในร่างกายเพื่อกระตุ้นการทำงาน ของอวัยวะต่างๆ ปรับสมดุลชีวเคมีในสมอง ช่วยป้องกันเชื้อโรค เชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เพิ่มระดับของ IGF-1 ในร่างกาย ผู้ที่มี HGH ต่ำ มีผลกระทบต่อภูมิต้านทานในร่างกาย ทำให้ไม่สบาย ผิวหนังเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัยอันสมควร เมื่อสุขภาพไม่ดีอายุก็จะไม่ยืนยาว การเพิ่มการหลั่ง HGH ให้สูงขึ้น ผิวพรรณจะกลับมาสดใสภายในไม่กี่สัปดาห์ ช่วยชะลอความชราได้ สุขภาพดีขึ้น มีพลังในการใช้ชีวิต เมื่อระบบภูมิต้านทานในร่างกายดีขึ้น การควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายจะกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งสมอง ตับ หัวใจ กระดูก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้มีอายุที่ยืนยาวได้อีกนาน

HGH กับผลด้านการมองเห็น
ผู้สูงอายุมักมีปัญหาทางด้านสายตาควบคู่กัน เพราะร่างกายเสื่อมสภาพลงรวมไปถึงเลนส์สายตา ที่ขาดความยืดหยุ่น ผู้สูงอายุ 80 ปี จะมีสายตาที่เสื่อมถอยลงกว่าคนอายุ 20 ปี ถึง 3 เท่า เมื่อร่างกายได้รับ HGH จะทำให้สายตาดีขึ้น มีการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้นภายใน 1 เดือนและดีขึ้นเรื่อยใน 6 เดือนต่อมา

HGH กับผลด้านการนอนหลับ
ร่างกายจะสามารถหลั่งสารโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้เองในช่วงที่เรานอนหลับ แต่คนที่มีปัญหาทางด้านการนอนไม่หลับ เป็นโรคนอนไม่หลับหรือต้องอดนอนบ่อยๆ ร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนนี้เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงเวลานั้น ได้ เมื่อตื่นนอนก็ไม่สดชื่น กระทบต่อการทำงานในวันรุ่งขึ้น การได้รับ HGH เพิ่มเติมนั้น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น ร่างกายก็จะผลิตโกรทฮอร์โมนเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงได้

HGH กับผลด้านการความจำ
ผู้สูงอายุจะมีปัญหาทางด้านความจำ หลงๆลืมๆ ความจำเสื่อมรวมไปถึงการเป็นอัลไซเมอร์ Dr. Jan Berend Deijen และคณะนักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ พบว่าผู้ที่มี HGH ต่ำกว่าปกตินั้น จะสูญเสียความทรงจำในระยะสั้น ความสัมพันธ์ระหว่างตาและมือลดลง รวมไปถึงการมีผลต่อความจำระยะยาวอีกด้วย IQ ก็จะต่ำลง การเสริม HGH เข้าไปนั้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตื่นตัวมากขึ้น กระตือรือร้น มีการจดจำที่ดี อาการหลงๆลืมๆน้อยลง มีสมาธิดีขึ้น สามารถโต้ตอบต่อสิ่งเร้าได้เร็วขึ้น ความทรงจำฟื้นกลับมาปกติ
ในการวิจัยที่มหาวิทยาลัย Aukland ประเทศนิวซีแลนด์ เรื่องการเสริมโกรทฮอร์โมนให้เด็ก พบว่าเด็กมีพัฒนาการดีขึ้น IQ สูงขึ้น การเรียนรู้ รัยรู้ได้ดี ผลการเรียนดีขึ้น  และมีผลช่วยลดอาการเซลล์สมองตาย โดยเฉพาะสมองส่วนด้านความจำ ความคิดวิเคราะห์ได้ ในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ กล้ามเนื้อสมองฝ่อลีบ ระบบประสาทมาเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ไม่ดี (Multiple sclerosis) เมื่อได้รับ HGH ช่วยให้ลดการสูญเสียของเซลล์ต่างๆในร่างกาย สมองทำงานได้ดีขึ้น กลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้ง

HGH กับผลด้านเร่งการหายของบาดแผล
Dr. Ronald Klatz ค้นพบว่า HGH ช่วยให้การหายของบาดแผลเร็วขึ้น เพราะไปช่วยกระตุ้นกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูบาดแผล สร้างเนื้อเยื่อให้ประสานกัน เนื้อเยื่อจะแข็งแรงขึ้น ผิวหนังยืดหยุ่นได้ดีช่วยทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น อีกทั้งฟื้นฟูการยึดติดของกระดุกในผู้ป่วยกระดูกหัก ในผู้ป่วยบาดแผลจากไฟไหม้ขั้นรุนแรงและแผลจากการผ่าตัด ได้ผลดี แผลหายเร็วขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับการฟื้นฟูกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น

HGH ทำให้อายุยืนยาว
เมื่อร่างกายมีระดับ HGH ที่สูงขึ้น จะช่วยยืดอายุให้ยืนยาวได้ จากการทดลองในสัตว์ นักวิทยาศาสตร์ Dr. Khanasri และ Gustad แห่งมหาวิทยาลัย North Dakota State พบว่าการได้รับ HGH เพิ่มช่วยป้องกันการเกิดเชื้อโรคแปลกปลอมทำให้ร่างกายไม่เสื่อมสภาพง่าย ระบบภูมิต้านทานดี มีอายุที่ยืนยาวขึ้น

HGH ทำงานอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
1.ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยเร่งสร้างเนื้อเยื่อเพื่อมาสมานแผล
2.ช่วยเพิ่มสารเคมีในต่อมน้ำเหลือง ปรับสมดุลให้ดีขึ้น
3. เพิ่มขีดความสามารถของต่อมไร้ท่อ กระตุ้นการล้างสารพิษในร่างกาย ต่อต้านเชื้อไวรัส ขจัดสารพิษในร่างกายได้
4. ควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ ปรับสมดุลทางด้านอารมณ์ ช่วยให้กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง
5. เพิ่มกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย ช่วยลดไขมัน เพิ่มไขมันดี ลดไขมันเลว ลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
6. เสริมสร้างการทำงานของหัวใจให้แข็งแรง กระตุ้นให้สร้างผนังหัวใจด้านซ้าย (Left Ventricular Wall) ให้หนาขึ้น กระสูบฉีดเลือดได้ดี
7. เสริมระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ช่วยให้ T-Cell leucocyte และ interferon แข็งแรง ต่อต้านเชื้อไวรัสและเชื้อโรคต่างๆจากภายนอก ห่างไกลความเจ็บป่วย สุขภาพแข็งแรงขึ้น
8. เสริมการทำงานของตับและตับอ่อน ต่อต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้
9. เพิ่มการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ การเรียนรู้ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ลดอาการความจำเสื่อม
10. ช่วยเรื่องการนอนหลับ มีผลในการควบคุมประสาทส่วนกลาง ปรับสมดุลสมองเพื่อจัดลำดับเซลล์และสารเคมีในสมอง ลดความตึงเครียด ผ่อนคลายความกังวล ทำให้หลับได้สบายแล้วยาวนาน
11. ช่วยคืนความหนุ่มสาวให้แก่ผู้สูงวัย ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและตามร่างกาย ฟื้นฟูสภาพผิวหน้า กระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนัง การสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับสมดุล เพิ่มน้ำและความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดรอยตีนกา ทำให้ผิวหนังไม่หย่อนยานหรือเกิดริ้วรอยน้อยลง
12. ช่วยเรื่องปัญหาหัวล้านหรือการเกิดผมผงอก เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเคมีจากต่อมใต้สมอง ช่วยเพิ่มเอนไซม์ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีของเส้นผมและกระตุ้นรูขุมขนให้งอก ผมใหม่ออกมา
13. ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เสริมอารมณ์ ปรับการทำงานของต่อมต่างๆในร่างกาย ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและเพิ่มฮอร์โมนเพศ อีกทั้งมีกำลังมากขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่า ประโยชน์และผลของโกรทฮอร์โมน HGH (Human Growth hormones) หรือฮอร์โมนแห่งการเจริญวัยนั้นมากมาย หากมีการเพิ่มฮอร์โมนตัวนี้ลงไป จะทำให้ผู้สูงอายุกลับมาเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้ง ไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ในทั้งเด็ก วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ก็ควรได้รับฮอร์โมนตัวนี้เพิ่มเช่นกัน เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างส่วนต่างๆ ปรับสมดุลระบบในร่างกายให้คงที่ รับมือกับการทำงานในชีวิตประจำวันได้ดี ช่วยให้มีสุขอนามัยที่สมบูรณ์ มีชีวิตทียืนยาวได้อีกนาน

 

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สุดยอดอาหารต้านโรค น้ำมันมะพร้าว+กระเทียม

สุดยอดอาหารต้านโรค น้ำมันมะพร้าว+กระเทียม





คือการนำน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น (COLD PRESS) มาทานรวมกับกระเทียม จะเป็นกระเทียมสดหรือกระเทียมแคปซูลก็ได้


ประโยชน์                                                              


 - กระตุ้นและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หยุดยั้งไวรัสและแบคทีเรียต่างๆได้ เช่น หวัด โรคกระเพาะ อาหารเป็นพิษ


 - ช่วยเลือดไหลเวียนดี ละลายลิ่มเลือด ลดความดัน


 - บำรุงตับ สามารถรักษาโรคตับแข็ง ไวรัสตับอักเสบ A,B,C และลดความเป็นพิษต่อตับของเห็ดมีพิษได้


 - ป้องกันและบรรเทาปัญหาแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน


 - ป้องกันโรคต้อกระจก และโรคตาต่างๆ


 - ป้องกันโรคหัวใจ


 - โรคเส้นโลหิตในสมองแตก


 - เพิ่มการทำงานของวิตามิน C และ E, กลูตาไธโอนและ Q10 และสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีก  


 - สามารถปิดสวิทซ์ของรหัสพันธุกรรมที่เร่งขบวนการชราภาพและปิดสวิทซ์การเกิดโรคมะเร็งได้


 - ล้างและกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดี


 - ลดความอ้วน

 
ชาว เอเชียรวมทั้งรุ่นปู่ย่าของเราล้วนใช้กันมานานแล้ว และ 40 ปีที่แล้ว นักวิจัยชาวเยอรมันได้แยกส่วนสำคัญ 2 อย่างออกมา ตั้งชื่อสารอาหารนี้ใหม่ว่ากรดอัลฟ่าไลโปอิก (ALPHA LIPOIC) เป็น SUPER ANTIOXIDANT หรือ UNIVERSAL ANTIOXIDANT คือสารต่อต้านอนุมูลอิสระครอบจักรวาลเพื่อใช้รักษาโรคปลายประสาทอักเสบจาก เบาหวาน อาหารไม่ย่อย และให้เป็นอาหารสำหรับเด็กทารกที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อย
ปัจจุบันมีการค้นคว้าเพิ่มเติมมากมายของคุณสมบัติสุดยอดสาร ANTIOXIDANT ที่มีสรรพคุณดังนี้ 
 
สาระ สำคัญ 2 อย่างที่ว่ามี กรดไขมันขนาดกลาง C8 กรดคาปริลิก (CAPRILIC ACID ) และกำมะถัน (SULFUR) 2 โมเลกุล ปัจจุบันทางบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่าสกัดมาจาก บล็อกโคลี, ผักโขม, เนื้อวัว


 -  แต่น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่มีกรดไขมันขนาดกลางสูงสุดถึง 63% ประกอบด้วย C8 กรดคาปริลิก,C10 กรดคาปริก, C12 กรดลอริก กรดไขมันทั้ง 3 ตัวทำงานคล้ายกันและส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เราจึงนำมาใช้งานร่วมกันได้ ไม่ต้องแยกใช้


 -  กระเทียมมีสารประกอบกำมะถันสูงมาก และยังมีสารสำคัญอีก 30 กว่าชนิด


ถ้าเรานำน้ำมันมะพร้าว + กระเทียม สิ่งที่เราได้จากธรรมชาติ ไม่ต้องหาซื้ออาหารเสริมอย่างกรดอัลฟ่าไลโปอิก (1 ขวดมี 60 เม็ด ราคา 2,000 กว่าบาท) โดยนำน้ำมันมะพร้าวและกระเทียมทานเป็นประจำเหมือนรุ่นปู่ย่าเราในสมัยก่อน ช่วยทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้นอีกมาก และหาได้ง่ายๆในสังคมของเรา ไม่ต้องหาซื้อจากต่างประเทศ ต้องขอบคุณนักค้นคว้าที่ได้และวิจัยถึง คุณสมบัติอันสุดยอดของสารอาหารนี้ ทำให้เราตระหนักและได้นำความเป็นธรรมชาติที่มีอยู่นำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
 
วิธีใช้
   1.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นไม่ผ่านความร้อน(ปราศจากการแต่งกลิ่นสังเคราะห์) 1 ช้อนโต๊ะ      
   2.กระเทียมสด 3-5 กลีบเล็ก หรือ กระเทียมแคปซูล 2-3 แคปซูล
       
 - ทานก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมงช่วยลดความอ้วน หรือ 


 - ทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ 


 - ทาน 2-3 มื้อ
 
อัลฟ่าไลโปอิคแอซิด : แอนติออกซิแดนท์ทุกเหตุการณ์


โดย : Sherry  A.Rogers,M.D.
 
มนุษย์ มีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยปฏิกิริยาเคมีต่างๆหลายพันชนิดที่เกิดขึ้นในแต่ละ วินาทีในปฏิกิริยาเหล่านี้ เราได้ยักย้ายถ่ายเทอีเลคตรอนไปมาเพื่อเปลี่ยนแปลงอาหารให้กลายเป็นพลังงาน สำหรับระบบร่างกาย ขับของเสีย และขจัดสารพิษที่เกิดจากสารเคมีที่รับประทานหรือหายใจเข้าไป  การถ่ายเทอีเลคตรอนมีลักษณะเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี คือมักจะมีอีเล็คตรอน เหลือตกค้างที่ไม่มีที่อยู่ในโมเลกุลใดๆอยู่ด้วย

 
อีเล คตรอนโดดเดี่ยว (orphan electrons) เหล่านี้มีชื่อเรียกว่าฟรีแร็คดิคัล จะทำทุกอย่างเพื่อหาที่อยู่ของตัวเองให้ได้ มันจะทะลวงเข้าไปที่เยื่อบุเซลหรือเอนไซม์เพื่อที่จะเข้าไปอยู่ใน โมเลกุล และนั่นก็ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับเนื้อเยื่อและเอนไซม์ การที่ อีเลคตรอนไปทำลายเนื้อเยื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาเปอร์ออกซิเดชั่นของไขมัน เนื่องจากเนื้อเยื่อประกอบขึ้นจากไขมัน ทำให้เกิดรูในส่วนที่ถูกออกซิได ซ์ แล้วทำให้การทำงานของเนื้อเยื่อลดลงทำให้เซลตายเร็วกว่าเวลาอันควรทำให้ ขาดสารอาหาร และไปทำให้เกิดความเครียดต่อระบบร่างกายได้หลายๆทาง

ฟรีแร็ค ดิคูลหรืออนุมูลอิสระเป็นต้นเหตุของการเป็นโรคหลายอย่างและชราภาพ ดังนั้น เราจะได้เปรียบขึ้นหากพยามทำให้เกิดน้อยที่สุด มีฟรีแร็ดดิคัลอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างกันและต้องใช้สารแอนติ ออกซิแดนท์ที่ต่างกันออกไปเพื่อขจัดพิษและควบคุมมัน เช่น


  - แร็ดดิคัลเดี่ยวของออกซิเจนเป็นฟรี แร็ดดิคัลที่สามารถจัดการได้ด้วย บีท่าแคโรทีน


  - แร็ดดิคัลของเปอร์ออกซิล (peroxyl radical) สามารถจัดการได้ด้วย วิตามิน อี


  - แร็ดดิคัลของไฮดร็อกซิล (hydroxyl radical) กำจัดได้ด้วยกลูตาไธโอน


  - ออกซิลแร็ดดิคัล (oxyl radical) ด้วยโคคิว 10


สารแอนติออกซิแดนท์อื่นๆอย่างเช่นไวตามินซี สามารถขับไล่พิษจากโลหะหนักซึ่งจะไปทำให้เกิดฟรีแร็ดดิคัลในภายหลังได้ ไวตามิน ซี ยังสามารถทำให้ไวตามีน อี นำกลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้งเมื่อไวตามิน อี ทำการกำจัดเปอร์ออกซิลแร็คดิคัล ตัวมันเองก็จะสูญเสียอีเลคตรอนและไม่สามารถกำจัดฟรีแร็ดดิคัลได้อีกต่อไป ไวตามีน ซี จะเป็นตัวให้อีเลคตรอนที่ขาดนี้และทำให้ไวตามิน อี สามารถกลับมาทำงานได้อีก


แต่ถ้ามีสารแอนติออกซิแดนท์ชนิดหนึ่งซึ่งสามารถจัดการกับฟรีแร็ดดิคัลใน รูปแบบต่างๆได้จะเกิดอะไรขึ้น สารอาหารอย่างเดียวอาจทำงานทั้งหมดนี้ได้และยังอาจทำงานบางอย่างที่สารแอนติ ออกซิแดนท์ตัวอื่นๆไม่สามารถทำได้อีกด้วย นั้นคือทำให้สารอาหารที่สำคัญๆกลับคืนสภาพมาใช้งานกำจัดพิษได้ใหม่อีก ครั้ง แล้วสารนี้เรียกว่าไลโปอิคแอซิด จากงานวิจัยระบุว่ามันอาจจะไม่เพียง แต่ยังช่วยทำให้ไวตามินอี กลับมาใช้งานได้ใหม่เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง กลูตาไธโอน,ไวตามินซี,โคคิว10, และเอนไซม์สำหรับกระบวนการเมตาโบลิซึ่มอื่นๆ ด้วย
 
ร่างกายเราใช้ไลโปอิคแอซิดสำหรับเมตาโบลิซึ่มในเซล เนื่องจากเป็น กรดไขมันที่มีความยาวขนาดกลาง (medium-Chain fatty acid) ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่าย เมื่ออยู่ในเซลไลโปอิคแอซิดจะถูก reduce (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีชนิดหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอดพลังแก่คนอื่น) ทำให้เป็นไดโฮโดรไลไปอิคแอซิด ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ทรงประสิทธิภาพ ในการทำลายพวกซุปเปอร์ออกไซด์ไฮโดรเปอร์ออกซิล และไฮดร็อกซิลแร็ดดิคัลทั้ง หลาย เมื่อตัวมันให้อีเลคตรอนเพื่อไปทำให้แอนติออกซิแดนท์อื่นๆใช้การได้อีก ครั้ง ตัวเองก็ยิ่งกลับทรงพลังมากยิ่งขึ้นไปอีกโดยยังไปสามารถกำจัดฟรีแร็ค ดิคัลได้อีกทั้งๆที่ตัวเองอยู่ในรูป reduced form (คือให้อีเลคตรอนแก่คนอื่นไปแล้ว-ผู้แปล) แล้วซึ่งเป็นสิ่งที่สารอื่นทำไม่ได้

 
ร่างกาย สร้างไลไปอิคแอซิดขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับปริมาณที่เราจะเอาไปใช้ ได้เลยเมื่อคิดถึงว่าในร่างกายมีปฏิกิริยาเคมีอยู่มากมายเท่าใดที่ต้อง จัดการนอกเหนือไปจากเป็นสารแอนติออกซิแดนท์สารพัดประโยชน์และช่วยทำให้สาร แอนติออกซิแดนท์อื่นกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แล้วไลโปอิคแอซิดยังเป็นตัวต่อต้านการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอชไอวี  และยังช่วยเพิ่มแอนติบอดี้เพื่อต่อต้านกับไวรัสเอชไอวีอีกด้วย
 
ไลโปอิค แอซิดยังช่วยลดความเสียหายซึ่งทำให้เกิดโรค arteriosclerosis (ผนังหลอดเลือดแดงหนาและสูญเสียความยืดหยุ่น ) ซึ่งกระบวนการที่ชื่อว่า กลัยโคซิเลชั่น (glycosylation) โดยไลโปอิคแอซิด ช่วยให้ปฏิกิริยานี้เกิดสภาพเป็นกลาง ทำให้การเกิดผนังหลอดเลือดหนาและแข็งนี้เกิดช้าลง ทั้งนี้ยังรวมไปถึงอาการข้างเคียงอื่นที่เกิดจากผนังหลอดเลือดหนาแข็งในผู้ ป่วยเบาหวาน ซึ่งได้แก่โรคหัวใจ, อาการข้างเคียงจากระบบประสาท,ต้อกระจก,เรติน่าอักเสบจากเบาหวาน,และตาบ อด,และอื่นๆอีกมากมาย

 
การ ศึกษาต่างๆยังระบุว่า ไลโปอิคช่วยป้องกันตับจากการทำลายของสารเคมี และจากสารอัลดีไฮด์ ซึ่งอย่างหนึ่งเกิดจากเชื้อรา Candida ที่ไปทำให้เกิด “หมอกในสมอง” และอาการอื่นๆอีกมากโดยการผลิตอัลดีไฮด์ส่วนเกินออกมา อัลดีไฮด์เป็นสารที่เกิดขึ้นในร่างกายระหว่างการแยกสลายสารแปลกปลอม และตัว เองจะกลายเป็นพิษหากเกิดคอขวดขึ้นโดยเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนเป็นสารอื่นไม่ทัน ทำให้เกิดการสะสมขึ้นอัลดีไฮด์ทำให้หลอดเลือดหนาแข็งตัว,แก่ชรา,ผลด้านลบที่ มีต่อพิษสุราเรื้อรัง และโรคทั้งหมดที่เกิดจากเอนไซม์ที่ถูกทำลายกับเนื้อ เยื่อที่ต้องทำงานเกี่ยวข้อง ซึ่งไลโปอิคแอซิดอาจช่วยป้องกันความเสียหายที่ เกิดจากอัลดีไฮด์เหล่านี้ได้

 
ไลโปอิค แอซิดยังยับยั้งหรือชะลอการเป็นพิษในระบบประสาทหรือความเสียหายของประสาท หรือความเสียหายของประสาทจากสารเคมีที่สูดดมเข้าไป จึงเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่ไวต่อสารเคมีและไม่สามารถจัดการกับสารเคมี เหล่านั้นได้ดีเท่ากับผู้อื่น ไลโปอิคแอซิดยังอาจช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมซึ่งก่อให้เกิด มะเร็งได้ด้วย

 
แม้ว่า ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม แต่การศึกษาเกี่ยวกับไลโปอิคแอซิดในปัจจุบันก็ให้ผลที่น่าเชื่อถือผู้เขียน (Sherry A. Rigers, M.D.) ยังไม่สามารถนึกถึงสารอาหารอื่นที่ให้ผลดีได้เท่านี้และดูเหมือนจะไม่มีผล ข้างเคียงแต่อย่างใด ปริมาณที่แนะนำขึ้นอยู่กับระดับของสารอาหารอื่นและความ ต้องการปริมาณเริ่มต้นที่ดีอยู่ระหว่าง 50 ถึง 100 ม.ก. วันละ 2 ถึง 3 ครั้ง แต่ไลโปอิคแอซิดก็เหมือนกับอาหารเสริมอื่น คือ ควรมีความสมดุลกับโปรแกรมโภชนาการ โดยรวมทั้งหมดโดยขอคำแนะนำได้จากผู้เชี่ยวชาญ
 


    แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง : Lipoic Acid: All-in-One  Antioxidant


     โดย : Sherry A. Rogers, M.D.


    วารสาร : Let’s Live  ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน  1996
พอ.นพ. ดำรง เชี่ยวศิลป์  ที่ปรึกษาอาวุโสสภากาชาดไทย


    ผู้แปล : ฉัตรตระกูล  เจียจันทร์พงษ์, M.P.H. (อาหารและสุขภาพฉบับที่ 97)
 
กรดอัลฟ่าไลโปอิคแอซิดมีโครงสร้างประกอบด้วย


   - กรดไขมันขนาดกลาง  CAPRYLIC:8


   - กำมะถัน
 
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (VIRGIN COCONUT) ประกอบด้วย


   - วิตามินอีโทโคไทรอีนอล (TOCOTRIENOL) ซึ่งมีอนุภาพสูงกว่าวิตามินอีโทโคเฟอร อล (TOCOPHEROL) ถึง 40 – 60 เท่า มีหน้าที่ปกป้องอนุมูลอิสระ


   - กรดไขมันขนาดกลาง (MEDIUMCHAIN FATTY ACID)


        -  CAPROIC   :  6   0.4%


        -  CAPRYLIC : 8   7.3%


        -  CAPRIC : 10   6.6%


        -  LAURIC : 12   48%
 
ประโยชน์กรดไขมันขนาดกลาง 6 -12 โมเลกุล


มีหน้าที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและสามารถทำลายเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตซัวและไวรัส  กรดไขมันขนาดกลางจะช่วยส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน

 
กระเทียม


มีสารประกอบกำมะถันมากได้แก่ ALLIN, METHYLCYSTEINE SULFOXIDE และ R-GUUTAMYL-S-TRANS-L-PROPENY CYSTEINNE และมีสารสำคัญอื่นอีก 33 ชนิด

 
ประโยชน์ของกระเทียม


   1.ป้องกันโรคหัวใจ ลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดคอเลสเตอรอล เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
   2.ฟอกเลือดโดยขับสารพิษออกจากเลือด ทำความสะอาด และทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันเลือด
   3.ลดความหนืดของหลอดเลือด ละลายลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอัมพฤกษ์และอัมพาตได้


   4.ป้องกันโรคมะเร็งในต่อมลูกหมากถึง 50%, ลดความเสี่ยงจากมะเร็งโรคกระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, เต้านม


   5.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายและยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค ไวรัส และเชื้อราอีกด้วย 


   6.มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างแรง และโรคเสื่อมต่างๆ
   7.ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ ลดไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล 


   8.ป้องกันระบบทางเดินหายใจเช่น หวัด น้ำมูกไหล 


   9.เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงสุขภาพ
 
ใน สูตรอาหารทั้วโลกเราจะเห็นว่าได้ใช้น้ำมันมะพร้าว (กรดไขมันขนาดกลาง 6 - 12 โมเลกุลและวิตามินอี ) กระเทียม(กำมะถัน) มาประกอบอาหารเป็นเวลาหลายร้อยปี สุขภาพของคนในสมัยก่อนนั้นแข็งแรง ส่วนโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เช่นโรคมะเร็ง หัวใจ อ้วน เบาหวาน อัลไซเมอร์ โรคต่อมธัยรอยด์ ฯลฯ เป็นกันมากขึ้นในยุคปัจจุบัน  เพราะการละเลยสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ ไปใช้สารสังเคราะห์ สารเคมี ผ่านกระบวนการต่างๆ  พลังและแร่ธาตุสารอาหารต่างๆ น้อยลงหรือหมดไป กลับได้สิ่งที่มีพิษเข้าไปแทน

 
ถึงเวลา ที่เราควรกลับมาใช้สารทรงพลังที่อยู่ในธรรมชาติ  เช่นมะพร้าว  กระเทียม ผัก ผลไม้ปลอดสารพิษ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ความสมดุล ความแข็งแรง มีอนามัยจะกลับมาสู่เราอีกครั้งด้วยวิธีธรรมชาติ