- สิวมักจะเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งคนที่อายุเกินวัยรุ่นก็มีโอกาศเป็นสิวได้เช่นกัน
- ผู้ชายมักจะมีปัญหาเรื่องสิวมากกว่าผู้หญิง แต่ในช่วงมีประจำเดือนวัยรุ่นหญิงก็มีปัญหาเรื่องสิวได้ง่ายเช่นเดียวกัน
- สิวถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากมีสิวได้ ก็รักษาได้เหมือนกัน
- สิวเกิดเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเท่านั้น เช่น บริเวณใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง
- ฮอร์โมน แอนโดรเจน (Androgen) และ ฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศที่มีอิธิพลที่ทำให้เกิดสิวโดยตรง
- ความผิดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า ส่วนใหญ่พบว่าหากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้ามีการ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากผิดปกติ และลอกหลุดออกง่ายกว่าปกติ อาจเกิดการอุดตันของรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาได้
- เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Propionibacterium acnes หรือ P.acnes
ในระยะแรก ที่เกิดหัวสิว มักจะตรวจไม่พบเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเพราะว่าแบคที่เรียชนิดนี้ไม่พึ่งพาออกซิเจน หน้าที่ของแบคที่เรียประเภทนี้คือผลิตเอนไซม์ไลเปส ไปย่อยสารไตรกลีเซอร์ไรด์ในไขมันทำให้กลายเป็นกลีเซอรอลและไขมันอิสระช่วยให้แบคทีเรียเติบโตได้ดีและช่วยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ แต่ในระยะท้ายๆ หรือระยะที่มีอาการอักเสบจะตรวจพบเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้ทุกราย แต่ละคนจะมีความไวต่อเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ไม่เหมือนกัน คนที่ไวมาก อาการก็จะรุนแรงมาก การรักษาสิวโดยใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่ได้ผลดีกับทุกราย
- ปริมาณไขมันที่สร้างจากต่อมไขมัน
การอักเสบ ของต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนที่มีอยู่ตามผิวหนังของคนเราเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำ ให้เกิดสิว ต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนมีหน้าที่สร้างไขมันมาหล่อเลี้ยงผิวหนัง ทำให้ผิวหนังไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น แต่บางครั้งก็สร้างไขมันออกมามากเกินไป ทำให้คั่งค้างอยู่ในรูขุมขนและเกิดการอักเสบ หากติดเชื้อแบคทีเรียด้วย ก็จะทำให้เป็นหัวสิวหรือตุ่มหนอง
- ความรุนแรงของสิวอักเสบในแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมาก บางรายเป็นน้อย กระบวนการอักเสบจะกำเริบในช่วงที่ความเครียดสูง การอดนอน หรือการแกะสิว
- หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมกันแดดเนื่องจากจะเป็นการเพิ่มความมันให้ผิวหน้าและก่อให้เกิดสิว
- เครื่องสำอางที่มีสารกันบูดหรือน้ำหอมเป็นส่วนผสมบางครั้งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
- หาจจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางควรเลือกที่ปราศจากไขมันหรือครีมที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- การทำความสะอาดผิวด้วยสารลดแรงตึงผิวที่มีค่าpH5.5จะดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้ามากเกินไปเพราะจะทำให้ต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติและอาจจะผลิตไขมันมากจนผิดปกติซึ่งก่อให้เกิดการอุดตันและเป็นบ่อเกิดของสิวได้
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสที่ผิวหน้าบ่อยๆเพราะอาจจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือขัดหน้าโดยเฉพาะการใช้เม็ดสครับขัดหน้าเพราะอาจทำผิวหนังได้รับการระคายเคืองทำให้เกิดสิวและสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
- ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่าอดนอนลดความเครียดความวิตกกังวลต่างๆเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ฮอร์โมนในรา่งกายเกิดการเปลี่ยนแปลงและอาจกระตุ้นให้เกิดการทำงานของต่อมไขมันที่ผิดปกติได้
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ใส่ผมหรืโฟมแต่งผมเพราะบางครั้งที่เหงื่อออกสารเหล่านั้นจะไหลมาสัมผ้สที่บริเวณหน้าก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดสิวได้ สารเคมีในสบู่บางชนิด เช่น สารกำมะถันและสารเฮกซาคอลโรฟินเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้
- ยาที่ส่วนผสมของสเตียรอยด์ทั้งชนิดทาและรับประทานอาจส่งผลให้เกิดสิวได้
- ยารักษาสิวชนิดทาที่ช่วยรักษาความผิืดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าได้คือ Tretinoin,Isotretinoin,Salicylic acid รวมทั้งยา ในกลุ่มเรตินอยด์ชนิดใหม่เช่น Tazarotene และยา ปฎิชีวนะชนิด Azelaic เพราะยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการลอกตัวของหัวสิวดีที่สุดและยังช่วยยับยั้งการเกิด Comedone ขุ้นใหม่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการสร้าง Keratin ของรูขุมขนบริเวณที่ทาด้วย
- ยารักษาสิวที่ช่วยลดการสร้างไขมันจากต่อมไขมันได้แก่ ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น Norrestimaye,Dessogestrelและยาต้านแอนโดนเจน เช่น Cyproterone acetate และ Spinololactone ซึ่งยากลุ่มนี้จผสมอยู่ในยาคุมกำเนิด
- ยาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acnes และลดปริมาณกรดไขมันอิสระ อีกทั้งยังช่วยลดขนาดและจำนวนของ Comedone รวมทั้งรอยสิวที่อักเสบได้ด้วย ยานี้ใช้ได้กับสิวอักเสบและไม่อักเสบ แต่ฤทธิ์ของยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว อาจจะทำให้ผิวลอก ผิวแห้ง และมีอาการผื่นแพ้ได้
- ยาปฎิชีวนะ มีทั้งชนิดทาเฉพาะที่ และรับประทาน ซึ่งหมอจะเลือกสั่งตามความรุนแรงของการอักเสบติดเชื้อทีี่สิวซึ่งยาที่ใช้ทาเฉพาะที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้จะได้ผลดีกับรอยอักเสบ เช่น เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง ยาประเภทนี้ได้แก่ Climdamycin,Erythromycin,Tetracycline
- ถ้าสิวอักเสบหรืออักเสบมากอาจจะต้องใช้ยารับประทานร่วมกับยาทา ซึ่งยารับประทานในการรักษาสิว มีสามกลุ่มหลักๆ คือ ยาปฎิชีวนะ ยากลุ่มเรตินอยด์ และยา กลุ่มฮอร์โมน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะได้ผลเต็มที่ ซึ่งยาแต่ละประเภทต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง และการรับประทานยาเหล่านี้เป็นเวลานาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระวังผลข้างเคียงของยา เช่น การตรวจดูการทำงานของตับ ไต ไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ก่อนแพทย์จะสั่งใช้ยาประเภทนี้ ยังต้องประเมินความเสี่ยงในการใช้ยา เช่นมีประวัติครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือเส้นเลือดอุดตันหรือไม่
- คนที่สูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาสิวเนื่องจากอาจจะทำให้เกิดความรุงแรงจากโรคต่างที่เกิดจากบุหรี่ได้
- การรักษาสิวด้วยแสง Blue Light Therapy เป็นแสงคลื่นต่ำที่มีความเข้มสูง จะทำงานโดยการฆ่าเชื้อ P.acnes และใช้รักษาสิวอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักาาชนิดอื่นหรือกรณีคนที่แพ้ยาไม่สามารถรับประทานยาแก้สิวได้
หนังสือ เผยความลับหมอหน้า
ผู้แต่ง Doctor Youth
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น