วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข้อควรรู้เกี่ยวกับสิว

  1. สิวมักจะเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งคนที่อายุเกินวัยรุ่นก็มีโอกาศเป็นสิวได้เช่นกัน
  2. ผู้ชายมักจะมีปัญหาเรื่องสิวมากกว่าผู้หญิง แต่ในช่วงมีประจำเดือนวัยรุ่นหญิงก็มีปัญหาเรื่องสิวได้ง่ายเช่นเดียวกัน
  3.  สิวถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากมีสิวได้ ก็รักษาได้เหมือนกัน
  4. สิวเกิดเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเท่านั้น เช่น บริเวณใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง
  5. ฮอร์โมน แอนโดรเจน (Androgen) และ ฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศที่มีอิธิพลที่ทำให้เกิดสิวโดยตรง
  6.  ความผิดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า ส่วนใหญ่พบว่าหากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้ามีการ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากผิดปกติ และลอกหลุดออกง่ายกว่าปกติ อาจเกิดการอุดตันของรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาได้
  7.  เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Propionibacterium acnes หรือ P.acnes
              ในระยะแรก ที่เกิดหัวสิว มักจะตรวจไม่พบเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเพราะว่าแบคที่เรียชนิดนี้ไม่พึ่งพาออกซิเจน หน้าที่ของแบคที่เรียประเภทนี้คือผลิตเอนไซม์ไลเปส ไปย่อยสารไตรกลีเซอร์ไรด์ในไขมันทำให้กลายเป็นกลีเซอรอลและไขมันอิสระช่วยให้แบคทีเรียเติบโตได้ดีและช่วยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ แต่ในระยะท้ายๆ หรือระยะที่มีอาการอักเสบจะตรวจพบเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้ทุกราย แต่ละคนจะมีความไวต่อเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ไม่เหมือนกัน คนที่ไวมาก อาการก็จะรุนแรงมาก การรักษาสิวโดยใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่ได้ผลดีกับทุกราย 
  8. ปริมาณไขมันที่สร้างจากต่อมไขมัน
              การอักเสบ ของต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนที่มีอยู่ตามผิวหนังของคนเราเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำ ให้เกิดสิว ต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนมีหน้าที่สร้างไขมันมาหล่อเลี้ยงผิวหนัง ทำให้ผิวหนังไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น แต่บางครั้งก็สร้างไขมันออกมามากเกินไป ทำให้คั่งค้างอยู่ในรูขุมขนและเกิดการอักเสบ หากติดเชื้อแบคทีเรียด้วย ก็จะทำให้เป็นหัวสิวหรือตุ่มหนอง
  9. ความรุนแรงของสิวอักเสบในแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมาก บางรายเป็นน้อย กระบวนการอักเสบจะกำเริบในช่วงที่ความเครียดสูง การอดนอน หรือการแกะสิว
  10. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมกันแดดเนื่องจากจะเป็นการเพิ่มความมันให้ผิวหน้าและก่อให้เกิดสิว
  11.  เครื่องสำอางที่มีสารกันบูดหรือน้ำหอมเป็นส่วนผสมบางครั้งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
  12.  หาจจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางควรเลือกที่ปราศจากไขมันหรือครีมที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
  13.  การทำความสะอาดผิวด้วยสารลดแรงตึงผิวที่มีค่าpH5.5จะดีที่สุด
  14.  หลีกเลี่ยงการล้างหน้ามากเกินไปเพราะจะทำให้ต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติและอาจจะผลิตไขมันมากจนผิดปกติซึ่งก่อให้เกิดการอุดตันและเป็นบ่อเกิดของสิวได้
  15.  หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสที่ผิวหน้าบ่อยๆเพราะอาจจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้
  16.  หลีกเลี่ยงการนวดหรือขัดหน้าโดยเฉพาะการใช้เม็ดสครับขัดหน้าเพราะอาจทำผิวหนังได้รับการระคายเคืองทำให้เกิดสิวและสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
  17.  ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่าอดนอนลดความเครียดความวิตกกังวลต่างๆเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ฮอร์โมนในรา่งกายเกิดการเปลี่ยนแปลงและอาจกระตุ้นให้เกิดการทำงานของต่อมไขมันที่ผิดปกติได้
  18.  หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ใส่ผมหรืโฟมแต่งผมเพราะบางครั้งที่เหงื่อออกสารเหล่านั้นจะไหลมาสัมผ้สที่บริเวณหน้าก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดสิวได้ สารเคมีในสบู่บางชนิด เช่น สารกำมะถันและสารเฮกซาคอลโรฟินเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้
  19.  ยาที่ส่วนผสมของสเตียรอยด์ทั้งชนิดทาและรับประทานอาจส่งผลให้เกิดสิวได้
  20. ยารักษาสิวชนิดทาที่ช่วยรักษาความผิืดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าได้คือ Tretinoin,Isotretinoin,Salicylic acid รวมทั้งยา ในกลุ่มเรตินอยด์ชนิดใหม่เช่น Tazarotene และยา ปฎิชีวนะชนิด Azelaic เพราะยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการลอกตัวของหัวสิวดีที่สุดและยังช่วยยับยั้งการเกิด Comedone ขุ้นใหม่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการสร้าง Keratin ของรูขุมขนบริเวณที่ทาด้วย 
  21.  ยารักษาสิวที่ช่วยลดการสร้างไขมันจากต่อมไขมันได้แก่ ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น Norrestimaye,Dessogestrelและยาต้านแอนโดนเจน เช่น  Cyproterone acetate และ Spinololactone ซึ่งยากลุ่มนี้จผสมอยู่ในยาคุมกำเนิด
  22. ยาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acnes และลดปริมาณกรดไขมันอิสระ อีกทั้งยังช่วยลดขนาดและจำนวนของ Comedone รวมทั้งรอยสิวที่อักเสบได้ด้วย ยานี้ใช้ได้กับสิวอักเสบและไม่อักเสบ แต่ฤทธิ์ของยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว อาจจะทำให้ผิวลอก ผิวแห้ง และมีอาการผื่นแพ้ได้
  23.  ยาปฎิชีวนะ มีทั้งชนิดทาเฉพาะที่ และรับประทาน ซึ่งหมอจะเลือกสั่งตามความรุนแรงของการอักเสบติดเชื้อทีี่สิวซึ่งยาที่ใช้ทาเฉพาะที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้จะได้ผลดีกับรอยอักเสบ เช่น เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง  ยาประเภทนี้ได้แก่ Climdamycin,Erythromycin,Tetracycline
  24.  ถ้าสิวอักเสบหรืออักเสบมากอาจจะต้องใช้ยารับประทานร่วมกับยาทา ซึ่งยารับประทานในการรักษาสิว มีสามกลุ่มหลักๆ คือ ยาปฎิชีวนะ ยากลุ่มเรตินอยด์ และยา กลุ่มฮอร์โมน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะได้ผลเต็มที่ ซึ่งยาแต่ละประเภทต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง และการรับประทานยาเหล่านี้เป็นเวลานาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระวังผลข้างเคียงของยา เช่น การตรวจดูการทำงานของตับ ไต ไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ก่อนแพทย์จะสั่งใช้ยาประเภทนี้ ยังต้องประเมินความเสี่ยงในการใช้ยา เช่นมีประวัติครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือเส้นเลือดอุดตันหรือไม่
  25.  คนที่สูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาสิวเนื่องจากอาจจะทำให้เกิดความรุงแรงจากโรคต่างที่เกิดจากบุหรี่ได้
  26. การรักษาสิวด้วยแสง Blue Light Therapy เป็นแสงคลื่นต่ำที่มีความเข้มสูง จะทำงานโดยการฆ่าเชื้อ P.acnes และใช้รักษาสิวอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักาาชนิดอื่นหรือกรณีคนที่แพ้ยาไม่สามารถรับประทานยาแก้สิวได้
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ เผยความลับหมอหน้า 
ผู้แต่ง Doctor Youth



























    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น