วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อาหารเพิ่มพลังสมอง

“ สมอง ” ... กองบัญชาการของร่างกาย

“ สมอง ” เป็นอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron) จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ที่มีแขนงประสาท (neuronal processes) งอกออกมา ประสานกันเป็นร่างแหเพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท โดยมีอัตราความเร็วของการส่งสัญญาณตั้งแต่ 0.5-120 เมตร/วินาที เชื่อว่าเซลล์ประสาทจะมีจำนวนคงที่เมื่อแรกคลอด แต่การงอกของแขนงประสาทจะเพิ่มขึ้นได้หลังจากมีการกระตุ้นจากการเรียนรู้และ ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ทำให้สามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และมีการติดต่อประสานงานที่ต่อเนื่องครอบคลุม สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความฉลาดและสติปัญญาได้

“ สารสื่อประสาท ” ปัจจัยที่ช่วยการทำงานของสมอง

เช่น เดียวกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย สมองต้องการสารอาหารเพื่อเป็นพลังงานและใช้ในการทำงาน การติดต่อกันระหว่างเซลล์สมองยังต้องการสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) อย่างน้อย 3 ชนิด ที่จะทำให้การส่งข้อมูลของสมองเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ สารสื่อประสาทเหล่านี้สร้างมาจากสารอาหารต่างๆ ที่รับประทาน โดยมีวิตามินและแร่ธาตุช่วยในกระบวนการ...ได้แก่

อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาท ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างความจำด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จะมีอะซิทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าคนปกติ อะซิทิลโคลีนมีมากในอาหาร จำพวกไข่แดง ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม เนยแข็ง และผักโดยเฉพาะ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น

โดปามีน (Dopamine) เกี่ยวข้องกับสมาธิ ความสนใจ และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว โดยจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นโรคจิตเภท (schizophrenia) จะมีโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ โดปามีนมีมากในอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ถั่วต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 60-80 กรัม จะช่วยให้ตื่นตัว และมีพลังได้

ซีโรโตนิน (Serotonin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ โดยซีโรโตนินจะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองส่วนกลาง (brain rewards system) เมื่อเกิดความรู้สึกพอใจ พบว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีระดับของซีโรโตนินในสมองบริเวณนี้น้อยกว่า ปกติ สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช และขนมปัง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นซีโรโตนินในสมอง โดยพบว่าภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบได้นาน หลายชั่วโมง
สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร ”

สมองต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจดจำข้อมูลต่างๆ เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว ในระยะเริ่มแรกเด็กจะขาดสมาธิ และเลี้ยงยาก ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร สมองต้องการอาหารดังนี้...

เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีกรดอะมิโน 2 ชนิดในเนื้อสัตว์ที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้า และกลางวัน ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเล็ดแห้งต่างๆ
งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ

ผักและผลไม้ ที่ มีกากใยมากกว่าขนมหวานเพราะมีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป สำหรับอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก หลังจากรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อรักษาระดับน้ำตาล และอาจทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จนมีผลกับการทำงานของสมองได้

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมหวานมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสมาธิในการเรียน ความจำ และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะงอแงและเลี้ยงยาก

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า- 3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า- 3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เป็นต้น

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีองค์ประกอบของไขมันที่ ผ่านกระบวนการมาแล้ว (hydrogenated) เนื่องจากไขมันดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้าง เมื่อเข้าสู่สมองจะมีผลกระทบต่อการทำงาน และการส่งกระแสประสาทของเซลล์สมอง นอกจากนี้ไขมันที่ผ่านกระบวนการนี้ยังมีลักษณะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกาะและอุดตันเส้นเลือดได้ โดยหากไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้สมองบริเวณนั้นตาย และเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง โดยวิตามินบี ชนิดต่างๆ จะช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน วิตามินเอ ซี และอี จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของสมองต่อสารต่างๆ ที่เป็นมลพิษ โซเดียม โปแทสเซียม และแคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและกระบวนการเก็บความจำ เหล็กมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้ พบว่าเด็กที่ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะมีผลการเรียนที่ดี และสนใจอยู่กับบทเรียนได้นานขึ้น

อาหารกับโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's disease)

ถึงแม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่สามารถป้องกันหรือชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปกว่าเดิมได้ โดยวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ การหลีกเลี่ยงจากมลพิษ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง มีงานวิจัยมากมายพบว่าโรคสมองเสื่อมสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารหลายชนิด เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินอี วิตามินซี ซึ่งมีอยู่มากในผักและผลไม้จำพวกมะเขือเทศ แครอท และ ผักขม ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ ทำให้ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระ (free radicals) นอกจากนี้แล้ว DHA ที่มีในไขมันจากปลาทะเล ก็ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเซลล์สมองได้ 

 แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เกษตรอินทรีย์

เกษตรอินทรีย์คืออะไร
 เกษตรอินทรีย์
       คือการทำการเกษตรด้วยหลักธรรมชาติ บนพื้นที่การเกษตรที่ไม่มีสารพิษตกค้างและหลีกเลี่ยงจากการปนเปื้อนของสาร เคมีทางดิน ทางน้ำ และทางอากาศเพื่อส่งเสริมความอุดสมสมบูรณ์ของดินความหลากหลายทางชีวภาพใน ระบบนิเวศน์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนสู่สมดุลธรรมชาติโดยไม่ใช้สาร เคมีสังเคราะห์หรือสิ่งที่ได้มาจากการตัดต่อพันธุกรรม ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีแผนการจัดการอย่างเป็นระบบในการผลิตภายใต้มาตรฐานการ ผลิตเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผผลิตสูงอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารและปลอดสารพิษโดยมี ต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจพอเพียง แก่มวลมนุษยชาติ และสรรพชีวิต

        ทำไม ? ต้องเกษตรอินทรีย์
        การใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของ ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุและกายภาพของดินทำให้สิ่งมีชีวิตที่มี ประโยชน์ในดินนั้นสูญหาย และไร้สมรรถภาพความไมาสมดุลนี้เป็นอันตรายยิ่งกระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้น แล้ว จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ผืนดินที่ถูกผลาญไปนั้น ได้สูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุ ทำให้ผลผลิตมีแร่ธาตุ วิตามิน และพลังชีวิตต่ำเป็นผลให้เกิดการขาดแคลนธาตุอาหารรองในพืช พืชจะอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรคและทำให้การคุกคามของแมลง และเชื้อโรคเกิดขึ้นได้ง่ายซึ่งจะนำไปสู่การใช้สารเคมีฆ่าแมลงและเชื้อรา เพิ่มขึ้น ดินที่เสื่อมคุณภาพนั้น จะเร่งการเจริญเติบโตของวัชพืชให้แข่งกับพืชเกษตร และนำไปสู่การใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดวัชพืช ข้อบกพร่องเช่นนี้ก่อให้เกิดวิกฤติในห่วงโซ่อาหาร และระบบการเกษตรของเราซึ่งทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง ในโลกปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรเป็นเงินปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท เกษตรกรต้องซื้อปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการเพาะปลูกทำให้ การลงทุนสูง และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ราคาผลผลิตในรอบยี่สิบปี ไม่ได้สูงขึ้นตามสัดส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้นนั้นมีผลทำให้เกษตรกรขาดทุน มีหนี้สินล้นพ้นตัวเกษตรอินทรีย์จะเป็นหนทางของการแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRD9f7rq0BQoAdW52ZlfD8m2JSrTlx_XZizi2hqr9nPeO07eyFM
        เกษตรอินทรีย์คืออะไร ?
        - ให้ปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีกว่า
        - ให้อาหารปลอดสารพิษสำหรับชีวิตที่ดีกว่า
        - ให้ต้นทุนการผลิตที่ต่ำเพื่อเศรษฐกิจที่ดีกว่า
        - ให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตที่ดีกว่า
        - ให้ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ดีกว่า
        - ให้สิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า

        ผลผลิตพืชอินทรีย์เป็นอย่างไร?
        - มีรูปร่างดีสมส่วน
        - มีสีสวยเป็นปกติ
        - มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ
        - มีโครงสร้างของเนื้อนุ่มกรอบแน่น
        - มีรสชาติดี
        - ไม่มีสารพิษตกค้าง
        - เก็บรักษาได้ทนทาน
        - ให้สารอาหารและพลังชีวิต

        เป็นเกษตรอินทรีย์ได้อย่างไร  
        การเกษตรปัจจุบัน สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้โดยเริ่มต้นศึกษาหาความรู้จากมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ที่ถูกกำหนดขึ้นควรเริ่มต้นด้วยความสนใจ และศรัทธาหลักทฤษฎีเพื่อการปฏิบัติ โดยศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติเมื่อเริ่มปฏิบัติตามนี้แล้วก็นับได้ว่าก้าว เข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ในระยะปรับ เปลี่ยนเมื่อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไม่ นานก็จะเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ ทั้งนี้ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับประเภทของเกษตรอินทรีย์ที่จะผลิตซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์แล้วข้อสำคัญนั้น อยู่ที่การทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ให้ถ่องแท้มีความตั้งใจจริง มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยต่อปัญหาหรืออุปสรรคใด มีความสุขในการปฏิบัติก็จะบรรลุวัตถุประสงค์และประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจ ไว้เพราะเกษตรอิทรีย์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริงเมื่อเกษตร อินทรีย์แล้วสามารถขอรับรองมาตรฐานจากภาครัฐจึงจะนับได้ว่าเป็นเกษตร อินทรีย์ที่สมบูรณ์อันเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน

       ความเป็นมาของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
       ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ (Organic food Production Act-OFPA) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) และมีการแก้ไขในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996)
ตลาดร่วมกลุ่มประเทศในยุโรป (European Unity : EU.) ได้มีการรวบรวมข้อกำหนดของผลิตผลเกษตรอินทรีย์ไว้ในข้อกำหนดของสภาตลาดร่วม ยุโรป (EEC No. 2092/91) และฉบับแก้ไข ข้อกำหนดส่วนใหญ่ให้คำแนะนำในการนำเข้าอาหารอินทรีย์ที่ผลิตจากประเทศอื่น ภายใต้มาตรฐานการผลิต และมาตรการตรวจสอบที่เหมือนกันทุกประการ
       ประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่น ได้ประกาศใช้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2544 โดยอ้างอิงกฎหมายมาตรฐานเกษตรญี่ปุ่น (Japan Agriculture Standard – JAS)
       ประเทศไทย ได้มีการกำหนดใช้มาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ หลังจากผ่านการปรับปรุงแก้ไขครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2543 โดยคณะทำงานเฉพาะกิจปรับปรุงมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ของประเทศไทยและผ่าการเห็นชอบ ของคณะกรรมการบริหารงานวิจัยและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movement – IFOAM) ได้จัดทำเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์เป็นที่ยอมรับในกลุ่มประเทศในยุโรป สมาคมดินแห่งสหราชอาณาจักร (Soil Association UK) เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อเกษตรอินทรีย์ มีประวัติความเป็นมายาวนาน ได้พัฒนามาตรฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักร องค์กรเครือข่าย (Pesticide Network Action : PNA) เป็นองค์กรเครือข่ายของสหราชอาณาจักร และประเทศเนเธอแลนด์ ที่กำลังปฏิบัติการเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       มาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ของประเทศไทย
       มีประเด็นหลักสำคัญ ดังนี้
       - ที่ดินไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่ำกว่ามาตรฐานกำหนด
       - พื้นที่ปลูกต้องไม่มีสารเคมีสังเคราะห์ตกค้าง
       - ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในกระบวนการผลิต
       - ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่คลุกสารเคมีสังเคราะห์
       - ไม่ใช้สิ่งที่ได้จากการตัดต่อทางพันธุกรรม
       - ไม่ใช้มูลสัตว์ที่เลี้ยงอย่างผิดมาตรฐาน
       - ปัจจัยการผลิตจากภายนอกต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน
       - กระบวนการผลิตต้องปราศจากสิ่งปนเปื้อนสารเคมีสังเคราะห์
       - ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อม
       - ต้องได้รับการรับรองมารฐานอย่างเป็นทางการ

       ข้อมูลการตลาดเกษตรอินทรีย์
       ตลาดเกษตรอินทรีย์ของโลกในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยตลาดส่วนใหญ่อยู่สหภาพยุโรป 250,000 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 200,000 ล้านบาทและญี่ปุ่น 45,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อปี ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยทั่วไปจะสูงกว่าสินค้าปกติร้อยละ 25 – 50 อย่างไรก็ตามปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งโลกในปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 1 ดังนั้นโอกาสและลู่ทางในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปขายในตลาดโลกของประเทศไทยยังมีอยู่มาก
สำหรับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยกรมวิชาการเกษตรร่วมกับบริษัทในเครือนครหลวงและบริษัทในเครือสยามวิวัฒน์ ผลิตข้าวอินทรีย์ในท้องที่จังหวัดพะเยาและเชียงราย เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 1,200 – 1,500 ตันส่งไปขายยังต่างประเทศภายใต้การควบคุมขององค์กรตรวจสอบคุณภาพของประเทศ อิตาลี มีการผลิตกล้วยหอมอินทรีย์ส่งไปประเทศญี่ปุ่นโดยสหกรณ์การเกษตรท่ายางร่วม กับสหกรณ์ผู้บริโภคโตโต้ ประเทศญี่ปุ่น มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 259 รายในเนื้อที่ 1,500 ไร่ ผลผลิตของสมาชิกในโครงการประมาณ 2,000 – 2,500 ตัน/ปี  ปี พ.ศ. 2542 – 2546 กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการนำร่องการผลิตพืชอินทรีย์เพื่อการส่งออกร่วมกับบริษัทส่งออก จำนวน 6 บริษัทตั้งเป้าหมายการผลิตพืชอินทรีย์ 6 ชนิดเพื่อการส่งออก คือ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดฝักอ่อน กล้วยไข่ สับปะรด กระเจี๊ยบเขียว และขิง เพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา  สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดโลก ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณปีละ 5 – 6 แสนล้านบาท ความต้องการของตลาดส่วนใหญ่เติบโตอยู่ในต่างประเทศเช่น
       
ประเทศในสหภาพยุโรปมีมูลค่าประมาณ 250,000 ล้านบาทต่อปี
        สหรัฐอเมริกามูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาทต่อปี
        ประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาทต่อปี
        โดยอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อปี ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยทั่วไปสูงกว่าสินค้าปกติร้อยละ 25.50 ปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีอยู่ในตลาดโลกปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 1
ดังนั้นโอกาสและลู่ทางในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยเพื่อส่งออกไปขายในตลาดโลกยังมีอยู่มาก
กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาศาสตร์ ได้จัดทำโครงการนำร่องการผลิตพืชอินทรีย์เพื่อการส่งออกร่วมกับบริษัทผู้ส่งออกของไทย ตั้งเป้าหมายการผลิตพืชอินทรีย์ 6 ชนิดเพื่อการส่งออกคือ หน่อไม้ฝรั่ง, ข้าวโพดฝักอ่อน, กล้วยไข่, สับปะรด, กระเจี๊ยบเขียว และขิงเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการนี้ในปี พ.ศ. 2542 ถึงปี พ.ศ. 2544
        กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้จัดงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ จากประเทศไทย ณ ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2544 และมีแผนที่จะนำเอาสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพดีจากประเทศไทย ออกไปแสดงในงานมหกรรมแสดงสินค้าที่ต่างประเทศจัดขึ้นในหลายประเทศ เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทย

        หลักการผลิตพืชอินทรีย
      1. เลือกพื้นที่ที่ไม่เคยทำการเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
       2. เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างดอนและโล่งแจ้ง
       3. อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม
       4. อยู่ห่างจากแปลงที่ใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี
       5. ห่างจากถนนหลวงหลัก
       6. มีแหล่งน้ำที่ปลอดสารพิษ

       ขั้นตอนการทำแปลง
      1. เก็บตัวอย่างดิน ดินบนและดินล่างอย่างละ 1 กิโลกรัม นำไปวิเคราะห์พร้อมกัน หาชนิดและปริมาณธาตุอาหารที่อยู่ในดิน
       2. แหล่งน้ำจะต้องเป็นแหล่งน้ำอิสระเก็บตัวอย่างน้ำ 1 ลิตร นำไปวิเคราะห์เพื่อหาสารปนเปื้อนที่ขัดต่อหลักการผลิตพืชอินทรีย์
       3. เมื่อทราบข้อมูลของดินและน้ำแล้วว่าไม่มีพิษต่อการปลูกพืชอินทรีย์ ก็เริ่มทำการวางรูปแบบแปลงผลิตพืชอินทรีย์ การวางแบบแปลงจะต้องทำการขูดร่องล้อมรอบแปลง เพื่อเป็นการดักน้ำหรือป้องกันน้ำที่มีสารปนเปื้อนไหลบ่ามาท่วมแปลงในฤดูฝน ร่องคูรอบแปลงควรกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร พร้อมกับทำการปลูกหญ้าแฝกริมร่องโดยรอบทั้งด้านในและด้านนอก รากหญ้าแฝกจะเป็นกำแพงกรองน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำดี ซึมเข้าไปในดินที่ปลูกพืชอินทรีย์ ส่วนใบของหญ้าแฝกก็ตัดไปใช้ปรับสภาพดินหรือใช้คลุมแปลงพืชผักอินทรีย์ต่อไป
       4. ในการเตรียมแปลงในครั้งแรกอนุโลมให้ใช้รถไถเดินตามได้ แต่ในครั้งต่อไปให้ใช้คนขุดพรวนดิน ถ้าใช้รถไถบ่อย ๆ แล้วมลพิษจากเครื่องยนต์จะตกค้างอยู่ในดิน และจะปฏิบัติกิริยาที่เป็นพิษต่อพืชจึงต้องระวัง ห้ามสูบบุหรี่ในแปลงพืชอินทรีย์ ในการเตรียมแปลงจะต้องทำการไถพรวนใหื้นที่ในแปลงโล่งแจ้งพร้อมที่จะวางรูป แบบแปลงในการวางรูปแบบแปลงจะต้องวางไปตามตะวันเนื่องจากพืชใช้แสงแดดปรุง อาหารและแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรค แปลงที่จะปลูกพืชผักนั้นความกว้างไม่ควรเกิน 1 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่ ส่วนพื้นที่ที่ยังทำแปลงปลูกพืชผักไม่ทันก็ให้นำเอาพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วมะแฮะ มาหว่านคลุมดินเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสดเป็นการปรับปรุงดินไปพร้อมกับเป็นการ ป้องกันแมลงที่จะวางไข้ในพงหญ้าด้วย
       5. เมื่อเตรียมแปลงแล้วก็หันมาทำการปลูกพืชสมุนไพรไล่แมลงก่อนที่จะปลูกพืชหลักคือพืชผักต่าง ๆ (เสริมกับการป้องกัน) ทางน้ำ ทางอากาศ และทางพื้นดิน พืชสมุนไพรที่กับแมลงรอบนอกเช่น สะเดา ชะอม ตะไคร้หอม ข่า ปลูกห่างกัน 2 เมตร โดยรอบพื้นที่ ส่วนต้นด้านในกันแมลงในระดับต่ำ โดยปลูกพืชสมุนไพรเตี้ยลงมาเช่น ดาวเรือง กะเพรา โหระพา ตะไคร้หอม พริกต่าง ๆ ปลูกห่างกัน 1 เมตร และที่จะลืมไม่ได้คือจะต้องปลูกตะไคร้หอมทุก ๆ 3 เมตร แซมโดยรอบพื้นที่ด้านในด้วย
       6. หลังจากปลูกพืชสมุนไพรเพื่อกันแมลงแล้วก็ทำการยกแปลงเพื่อปลูกพืชผัก แต่ก่อนที่จะปลูกจะต้องทำการปรับสภาพดินในแปลงปลูก โดยการใส่ปุ๋ยคอก (ขี้วัว) การใส่ปุ๋ยคอกนั้นจะใส่มากน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่จะทำแปลง ปลูกพืชอินทรีย์ (ขี้วัวต้องเป็นวัวที่กินพืชตามธรรมชาติ) ทำการพรวนคลุกกันให้ทั่วทิ้งไว้ 7 วัน ก่อนปลูก การปลูกให้ปลูกพืชสมุนไพรกันแมลงที่ขอบแปลงก่อน เช่น กุ้ยฉ่าย ขึ้นฉ่าย และระหว่างแปลงก็ทำการปลูกกะเพรา โหระพา พริกต่าง ๆ เพื่อป้องกันแมลงก่อนที่จะทำการปลูกพืชผัก พอครบกำหนด 7 วันพรวนดินอีกครั้งแล้วนำเมล็ดพันธุ์พืชมาหว่าน แต่เมล็ดพันธุ์พืชส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คลุกสารเคมี จึงต้องนำเอาเมล็ดพันธุ์ผักมาล้าง โดยการนำน้ำที่มีความร้อน 50 – 55 องศาเซลเซียส วัดได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองคือเอานิ้วจุ่มลงไปถ้าทนความร้อนได้ก็ให้ นำเมล็ดพันธุ์พืชแช่ลงไป นาน 30 นาทีแล้วจึงนำขึ้นมาคลุกกับกากสะเดา หรือสะเดาผงแล้วนำไปหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้คลุมฟางและรดน้ำ ก่อนรดน้ำทุกวันควรขยำขยี้ใบตะไคร้หอมแล้วใช้ไม้เล็ก ๆ ตีใบกะเพราะ โหระพา ข่า ฯลฯ เพื่อให้เกิดกลิ่นจากพืชสมุนไพรออกไล่แมลง ควรพ่นสารสะเดาอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3 – 7 วันกันก่อนแก้ ถ้าปล่อยให้โรคแมลงมาแล้วจะแก้ไขไม่ทันเพราะว่าไม่ได้ใช้สารเคมี ควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดพอถึงอายุเก็บเกี่ยวควรเก็บเกี่ยวผลผลิต ถ้าทิ้งไว้จะสิ้นเปลืองสารสมุนไพรในการปลูกพืชอินทรีย์ในระยะแรกผลผลิตจะได้ น้อยกว่าพืชเคมีประมาณ 30 – 40% แต่ราคานั้นมากกว่าพืชเคมี 20 – 50% ผลดีคือทำให้สุขภาพของผู้ผลิตดีขึ้นไม่ต้องเสียค่ายา (รักษาคน) สิ่งแวดล้อมก็ดีด้วย รายได้ก็เพิ่มกว่าพืชเคมีหากทำอย่างยั่งยืน อย่างต่อเนื่องผลผลิตจะไม่ต่างกับการปลูกพืชเคมีเลย
       7. หลักจากที่ทำเก็บเกี่ยวพืชแรกไปแล้วไม่ควรปลูกพืชชนิดเดียวกับพืชแรก เช่น ในแปลงที่ 1 ปลูกผักกาดเขียวปลีได้ผลผลิตดี หลังเก็บผลผลิตไปแล้วปลูกซ้ำอีกจะไม่ได้อะไรเลย ควรปลูกสลับชนิดกัน เช่น ปลูกผักกาดเขียวปลี แล้วตามด้วยผักบุ้งจีนเก็บผักบุ้งจีนแล้วตามด้วยผักกาดหัว เก็บผักกาดหัวแล้วตามด้วยผักปวยเล้ง เก็บปวยเล้งตามด้วยตั้งโอ๋ ทำเช่นนี้ทุก ๆ แปลงที่ปลูกแล้วจะได้ผลผลิตดี
       8. การปลูกพืชอินทรีย์ ปลูกได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แต่จะต้องปลูกพืชสมุนไพรก่อนและต่อเนื่อง แล้วต้องปลูกพืชสลับลงไปในแปลงพืชผักเสมอ ต้องทำให้พืชสมุนไพรต่าง ๆ เกิดการช้ำจะได้มีกลิ่น ไม่ใช่ปลูกเอาไว้เฉย ๆ การปลูกพืชแนวตั้งคือพืชที่ขึ้นค้าง เช่น ถั่วฝักยาว มะระจีน ฯลฯ และแนวนอนคือ พืชผักต่าง ๆ เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ปวยเล้ง ตั้งโอ๋ ฯลฯ ควรทำเช่นนี้ทุกครั้งที่ปลูกพืชในแปลงเกษตรอินทรีย์
       9. การปลูกพืชสมุนไพรในแปลงเพื่อไล่แมลงยังสามารถนำเอาพืชสมุนไพรเหล่านี้ไปขายเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย หลังจากทำการเก็บเกี่ยวพืชผักแล้วควรรีบทำความสะอาดแปลงไม่ควรทิ้งเศษพืชที่มีโรคแมลงไว้ในแปลง ให้รีบนำไปทำลายนอกแปลงส่วนเศษพืชที่ไม่มีโรคแมลงก็ให้สับลงแปลงเป็นปุ๋ยต่อไป

 ขอขอบคุณ
http://www.chumphon.doae.go.th/sara/orgarnic.htm

เพาะข้าวสาลีงอก&น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อน

alt
วิธีการเพาะข้าวสาลี
1. นำเมล็ดข้าวสาลีแช่น้ำ 1 คืน  จากนั้นนำไปหว่านบนวัสดุเพาะในกระถางหรือตะกร้าที่สามารถ
ระบายน้ำได้  วัสดุเพาะต้องระบายน้ำได้ดี และไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี
2. รดน้ำบางๆแบบพ่นฝอย โดยอาจใช้กระบอกฉีดพ่น พอชื้น แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดไว้
3. วันรุ่งขึ้น เปิดกระดาษหนังสือพิมพ์ รดน้ำแบบวันแรกแล้วปิดกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้ดังเดิม
ทำเช่นนี้ทุกวันจนเห็นใบอ่อนข้าวสาลีงอกออกมา จึงเอากระดาษหนังสือพิมพ์ออก
4. รดน้ำบางๆแบบพ่นฝอย ทุกวัน แต่อย่าให้ชื้นมากเพราะจะทำให้เกิดเชื้อราได้
5. เมื่อข้าวสาลีออกใบที่ 2 หรือสูงประมาณ 8 นิ้ว (ใช้เวลาประมาณ 10 วัน) สามารถตัดใบไป
ทำน้ำคั้นได้ โดยใช้กรรไกรสะอาดตัดเหนือดินประมาณ ½ นิ้ว
6. รดน้ำบางๆแบบพ่นฝอย ต่อทุกวัน อีกประมาณ 5-7 วัน สามารถตัดใบไปทำน้ำคั้นรุ่นที่ 2
ได้อีกครั้ง

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdiFlRZdItRaMzpiflXpfJGVu2Fr02kWHiZ_9BVtvSEg63wnemHis2Cn_Y58rrF4-mYv75LnscVL3ssf2arEXLq0-ce_BqkBlQzL2FVdNlpdRBA-iUTB44K37HTLTfu1KqUuLO7reD3gOA/s320/J8163393-1.jpg

**ข้าวสาลีปลูกแต่ละรุ่น สามารถตัดใบไปทำน้ำคั้นได้ 2 รุ่น โดยใช้เมล็ดพันธุ์ 25 กรัม / คน / ครั้ง แต่สำหรับผู้ป่วยเพิ่มเมล็ดพันธุ์เป็น 50-100 กรัม / คน / ครั้ง **

กรรมวิธีการคั้นน้ำและปริมาณที่จะบริโภค
การคั้นน้ำไม่ควรใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าเพราะความเร็วของใบมีดจะทำให้เกิดขบวน การออกซิเดชั่น ซึ่งจะลดความเป็นประโยชน์ของน้ำคั้นข้าวสาลี  ขณะนี้มีการนำเข้าเครื่องคั้นน้ำข้าวสาลี
ใบอ่อนข้าวสาลีที่ตัดแล้วสามารถเก็บในถุงพลาสติคในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน แต่ถ้าคั้นน้ำแล้วควรรับประทานทันทีหรือไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังคั้นน้ำ
ปริมาณบริโภค  วันละ 1/4 - 1/3  แก้ว 1 ครั้ง ก่อนอาหาร สำหรับคนธรรมดา และ วันละ 1/4 - 1/2  แก้ว 2-3 ครั้ง ก่อนอาหาร สำหรับคนป่วย  ถ้าไม่ชอบกลิ่นอาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำผึ้งก็ได้
alt
ข้อควรระวัง อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ถ้าบริโภคมากเกินไป และไม่แนะนำสำหรับสตรีมีครรภ์

คุณประโยชน์ของน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อน

จากรายงานของต่างประเทศ พบว่า น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนอุดมด้วยเอ็นไซม์ วิตามิน และคลอโรฟิลล์ มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่มีอันตราย เพราะเป็นของธรรมชาติ   ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที   ต้นข้าวสาลีอ่อน 30 มิลลิลิตร มีคุณค่าเทียบเท่าผักสดทั่วไปน้ำหนัก 1 กิโลกรัม   น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนมีคลอโรฟิลล์มากถึง 70% ซึ่งคลอโรฟิลล์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮีโมโกลบิน จึงมีออกซิเจนมาก ช่วยให้สมองและเนื้อเยื่อของร่างกายมีออกซิเจนเพียงพอ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  มี superoxide dismutase (SOD) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งสูง ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที   ทำให้ช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็ง  ลดโคเลสเตอรอล ช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนของโลหิต  ระบบการย่อยอาหาร  ลดความดัน  รวมทั้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ได้ด้วย
ส่วนประกอบที่พบในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อน

น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 90 ชนิด ตั้งแต่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม เหล็กและโซเดียม  มีกรดอะมิโนไม่ต่ำกว่า 20 ชนิด และมีเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า 30 ชนิด ดังนี้

วิตามิน :  วิตามินเอ  วิตามินบี  วิตามินซี  วิตามินอี และวิตามินเค
แมกนีเซียม :  ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
กรดอะมิโน :  เป็นองค์ประกอบหลักของโปรตีน  ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบกรดอะมิโนมากมายดังนี้ Alanine, Arginine, Aspartic acid, Glutamic acid, Glycine, Histidine, Isoleucine, Leucine, Lysine, Phenylalanine, Proline, Serine, Threonine, Tyrosine และ Valine
เอนไซม์ :  เป็นองค์ประกอบหลักของขบวนการทำงานต่างๆของร่างกาย  ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบเอนไซม์มากมายดังนี้ Superoxide dismutase,  Amylase,  Cytrochrome Oxidase, Lipase, Protease  และ Transhydrogenase

บทความโดย นางสุธีรา มูลศรี นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง


วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โดปามีน สารควบคุมอารมณ์และความรู้สึก

 หากย้อนเวลากลับไปในช่วงคริศต์ศักราช 1923 จะพบว่า... โลกนี้ได้กำเนิดนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง  ผู้ซึ่งมีบทบาาทสำคัญในการค้นพบ  "สารโดปามีน"  สารเคมีสำคัญในร่างกายที่มีบทบาทต่อการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก !!

   Arvid Carlsson
 
        Arvid Carlsson  เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1923  ที่เมือง Uppsala ประเทศสวีเดน เขาเป็นผู้ผู้ค้นพบสาร
โดปามีนเมื่อช่วงทศวรรษ 1950  และยังพบว่าการให้สารตั้งต้นของโดปามีน คือ L-dopa สามารถรักษาอาการของ
โรคพาร์กินสันได้  จากผลงานนี้เองทำให้  Arvid Carlsson ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 2000
 

โครงสร้างของโดพามีน
 โดปามีน (dopamine) เป็นสารเคมีที่พบตามธรรมชาติในร่างกายซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที้เป็นทั้งสารสื่อประสาทและฮอล์โมน นอกจากนี้ยังเป็นสารตั้งต้นของการสังเครา์ะห์ นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine หรือ noradrenaline) และ เอพิเนฟริน (epinephrine หรือ adrenaline)
          โคปามีน (dopamine) ในสมองที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทจะกระตุ้นโดปามีนรีเซปเตอร์ (dopamine recetor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้โคปามีนยังมีบทบาทเป็นฮอร์โมนที่หลั่งโดยไฮโพทาลามัส (hypothalamus) เพื่อยับยั้งการหลั่่งโปรแลคติน (prolactin) จากต่อมพิทุอิทารี่ส่วนหน้า (anterior lobe of the pituitary) แต่เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (growth hormone)
          บทบาทของโดปามีน (dopamine) จะทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์ การเรียบเรียงความนึกคิด การทำหน้าที่ของสมองในกาีรควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งถ้ามีการเสียสมดุลระหว่างแอซิติลโคลีน (acetylcholine) กับ โดปามีน (dopamine) จะทำให้เป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease) ที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งเพศชายและหญิง เนื่องจากการขาดสารโดปามีน (dopamine) ในสมองเพราะมีการเสื่อมและตายของเซลล์สมองในตำแหน่งที่สร้างสารโดปามีน
ภาพการสังเคราะห์สารสื่อประสาทกลุ่มแคททีโดลามีน (The catecholamines)
โดปามีนเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์พึงพอใจ ความปิติยินดี ความรักใคร่ชอบพอ จากการศึกษาทดลองในหนู พบว่าเมื่อทำให้หนูเกิดความพึงพอใจ ระดับของโดปามีนจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ  ซึ่งในขณะที่โดปามีนถูกหลั่งออกมาจากสมอง จะทำให้เกิดความสุข เรียกว่า reward circuit หากถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมซ้ำ ๆ ก็จะหลั่งโดปามีนออกมาตามปกติ  แต่หากไม่ถูกกระตุ้นหรือทำกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่กิจกรรมเดิม สารโดปามีนก็จะหยุดทำงาน ทำให้รู้สึกหงุดหงิด โมโหหรือเซื่องซึมได้
 

 
         ด้วยเหตุนี้บางครั้งจึงมีการจัด โดปามีนเป็นสารเคมีแห่งรัก (Chemicals of love)  ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลือกหรือจับคู่ ซึ่งมีผลงานวิจัยอ้างอิงจากมหาวิทยาลัยอีโมรี ได้ทำการทดลองโดยฉีดโดปามีนใส่หนูตัวเมียทึ่เอามาจากหนูตัวผู้ตัวหนึ่ง  ซึ่งปรากฏว่าหนูตัวเมียเลือกจับคู่กับหนูตัวผู้ที่เป็นเจ้าของโดปามีนนี้จากกลุ่มหนูทั้งหมดที่อยู่รวมกัน


 
        นอกจากนี้แล้วระดับโดปามีนส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย  หากร่างกายมีปริมาณโดปามีนน้อยเกินไป จะทำให้เกิดเป็นโรคพาร์กินสัน  ซึ่งโรคทางประสาทที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ  โดยจะมีอากรสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า
  
 

 
       โรคพาร์กินสันนั้นเกิดจากการเสื่อม และตายไปของเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน จนไม่สามารถสร้างสารโดปามีนได้เพียงพอ สารโดปามีนนี้มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การตายของเซลล์กลุ่มนี้เกิดขึ้นได้เป็นปกติในผู้สูงอายุ แต่ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน พบว่ามีเซลล์ตายมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
 
 
       และในทางกลับกัน หากร่างกายมีสารโดปามีนในสมองมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองส่วนฟรอนทัล ซึ่งสมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ  ก็จะทำให้เกิดอาการป่วยทางจิต  ซึ่งผู้ป่วยโรคจิตเภทจะมีระดับโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ
 

 
          ดังนั้นเมื่อโดปามีน  ส่งผลกระทบต่อการควบคุมอารมณ์ของเราเช่นนี้  เราจึงควรรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน เนื่องจากโดปามีน ผลิตได้จากกรดอะมิโนชนิดไทโรซีน เช่น รับประทานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ นม ไข่ ถั่วเหลือง  เพื่อส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารโดปามีนอย่างเหมาะสม  ไม่มาก หรือน้อยจนเกินไปค่ะ





         
 
 
 

ขอบคุณข้อมูลจาก  
-สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้
http://vcharkarn.com
- ศูนย์การเรียนรู้สุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต  (http://www.vachiraphuket.go.th)
-  สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลโย (สสวท.)  (http://www.ipst.ac.th)

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข้อควรรู้เกี่ยวกับสิว

  1. สิวมักจะเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งคนที่อายุเกินวัยรุ่นก็มีโอกาศเป็นสิวได้เช่นกัน
  2. ผู้ชายมักจะมีปัญหาเรื่องสิวมากกว่าผู้หญิง แต่ในช่วงมีประจำเดือนวัยรุ่นหญิงก็มีปัญหาเรื่องสิวได้ง่ายเช่นเดียวกัน
  3.  สิวถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากมีสิวได้ ก็รักษาได้เหมือนกัน
  4. สิวเกิดเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเท่านั้น เช่น บริเวณใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง
  5. ฮอร์โมน แอนโดรเจน (Androgen) และ ฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศที่มีอิธิพลที่ทำให้เกิดสิวโดยตรง
  6.  ความผิดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า ส่วนใหญ่พบว่าหากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้ามีการ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากผิดปกติ และลอกหลุดออกง่ายกว่าปกติ อาจเกิดการอุดตันของรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาได้
  7.  เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Propionibacterium acnes หรือ P.acnes
              ในระยะแรก ที่เกิดหัวสิว มักจะตรวจไม่พบเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเพราะว่าแบคที่เรียชนิดนี้ไม่พึ่งพาออกซิเจน หน้าที่ของแบคที่เรียประเภทนี้คือผลิตเอนไซม์ไลเปส ไปย่อยสารไตรกลีเซอร์ไรด์ในไขมันทำให้กลายเป็นกลีเซอรอลและไขมันอิสระช่วยให้แบคทีเรียเติบโตได้ดีและช่วยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ แต่ในระยะท้ายๆ หรือระยะที่มีอาการอักเสบจะตรวจพบเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้ทุกราย แต่ละคนจะมีความไวต่อเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ไม่เหมือนกัน คนที่ไวมาก อาการก็จะรุนแรงมาก การรักษาสิวโดยใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่ได้ผลดีกับทุกราย 
  8. ปริมาณไขมันที่สร้างจากต่อมไขมัน
              การอักเสบ ของต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนที่มีอยู่ตามผิวหนังของคนเราเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำ ให้เกิดสิว ต่อมไขมันบริเวณรูขุมขนมีหน้าที่สร้างไขมันมาหล่อเลี้ยงผิวหนัง ทำให้ผิวหนังไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น แต่บางครั้งก็สร้างไขมันออกมามากเกินไป ทำให้คั่งค้างอยู่ในรูขุมขนและเกิดการอักเสบ หากติดเชื้อแบคทีเรียด้วย ก็จะทำให้เป็นหัวสิวหรือตุ่มหนอง
  9. ความรุนแรงของสิวอักเสบในแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมาก บางรายเป็นน้อย กระบวนการอักเสบจะกำเริบในช่วงที่ความเครียดสูง การอดนอน หรือการแกะสิว
  10. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมกันแดดเนื่องจากจะเป็นการเพิ่มความมันให้ผิวหน้าและก่อให้เกิดสิว
  11.  เครื่องสำอางที่มีสารกันบูดหรือน้ำหอมเป็นส่วนผสมบางครั้งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
  12.  หาจจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางควรเลือกที่ปราศจากไขมันหรือครีมที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
  13.  การทำความสะอาดผิวด้วยสารลดแรงตึงผิวที่มีค่าpH5.5จะดีที่สุด
  14.  หลีกเลี่ยงการล้างหน้ามากเกินไปเพราะจะทำให้ต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติและอาจจะผลิตไขมันมากจนผิดปกติซึ่งก่อให้เกิดการอุดตันและเป็นบ่อเกิดของสิวได้
  15.  หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสที่ผิวหน้าบ่อยๆเพราะอาจจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้
  16.  หลีกเลี่ยงการนวดหรือขัดหน้าโดยเฉพาะการใช้เม็ดสครับขัดหน้าเพราะอาจทำผิวหนังได้รับการระคายเคืองทำให้เกิดสิวและสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
  17.  ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่าอดนอนลดความเครียดความวิตกกังวลต่างๆเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ฮอร์โมนในรา่งกายเกิดการเปลี่ยนแปลงและอาจกระตุ้นให้เกิดการทำงานของต่อมไขมันที่ผิดปกติได้
  18.  หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ใส่ผมหรืโฟมแต่งผมเพราะบางครั้งที่เหงื่อออกสารเหล่านั้นจะไหลมาสัมผ้สที่บริเวณหน้าก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดสิวได้ สารเคมีในสบู่บางชนิด เช่น สารกำมะถันและสารเฮกซาคอลโรฟินเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้
  19.  ยาที่ส่วนผสมของสเตียรอยด์ทั้งชนิดทาและรับประทานอาจส่งผลให้เกิดสิวได้
  20. ยารักษาสิวชนิดทาที่ช่วยรักษาความผิืดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าได้คือ Tretinoin,Isotretinoin,Salicylic acid รวมทั้งยา ในกลุ่มเรตินอยด์ชนิดใหม่เช่น Tazarotene และยา ปฎิชีวนะชนิด Azelaic เพราะยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการลอกตัวของหัวสิวดีที่สุดและยังช่วยยับยั้งการเกิด Comedone ขุ้นใหม่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการสร้าง Keratin ของรูขุมขนบริเวณที่ทาด้วย 
  21.  ยารักษาสิวที่ช่วยลดการสร้างไขมันจากต่อมไขมันได้แก่ ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น Norrestimaye,Dessogestrelและยาต้านแอนโดนเจน เช่น  Cyproterone acetate และ Spinololactone ซึ่งยากลุ่มนี้จผสมอยู่ในยาคุมกำเนิด
  22. ยาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acnes และลดปริมาณกรดไขมันอิสระ อีกทั้งยังช่วยลดขนาดและจำนวนของ Comedone รวมทั้งรอยสิวที่อักเสบได้ด้วย ยานี้ใช้ได้กับสิวอักเสบและไม่อักเสบ แต่ฤทธิ์ของยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว อาจจะทำให้ผิวลอก ผิวแห้ง และมีอาการผื่นแพ้ได้
  23.  ยาปฎิชีวนะ มีทั้งชนิดทาเฉพาะที่ และรับประทาน ซึ่งหมอจะเลือกสั่งตามความรุนแรงของการอักเสบติดเชื้อทีี่สิวซึ่งยาที่ใช้ทาเฉพาะที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้จะได้ผลดีกับรอยอักเสบ เช่น เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง  ยาประเภทนี้ได้แก่ Climdamycin,Erythromycin,Tetracycline
  24.  ถ้าสิวอักเสบหรืออักเสบมากอาจจะต้องใช้ยารับประทานร่วมกับยาทา ซึ่งยารับประทานในการรักษาสิว มีสามกลุ่มหลักๆ คือ ยาปฎิชีวนะ ยากลุ่มเรตินอยด์ และยา กลุ่มฮอร์โมน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะได้ผลเต็มที่ ซึ่งยาแต่ละประเภทต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง และการรับประทานยาเหล่านี้เป็นเวลานาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระวังผลข้างเคียงของยา เช่น การตรวจดูการทำงานของตับ ไต ไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ก่อนแพทย์จะสั่งใช้ยาประเภทนี้ ยังต้องประเมินความเสี่ยงในการใช้ยา เช่นมีประวัติครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือเส้นเลือดอุดตันหรือไม่
  25.  คนที่สูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาสิวเนื่องจากอาจจะทำให้เกิดความรุงแรงจากโรคต่างที่เกิดจากบุหรี่ได้
  26. การรักษาสิวด้วยแสง Blue Light Therapy เป็นแสงคลื่นต่ำที่มีความเข้มสูง จะทำงานโดยการฆ่าเชื้อ P.acnes และใช้รักษาสิวอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักาาชนิดอื่นหรือกรณีคนที่แพ้ยาไม่สามารถรับประทานยาแก้สิวได้
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ เผยความลับหมอหน้า 
ผู้แต่ง Doctor Youth



























    สาระประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว




    http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/788/3788/images/coconut/01.jpg
    1. น้ำมันมะพร้าวเป็นโทษกับร่างกายหรือไม่ ?

    วงการแพทย์และนักโภชนาการสมัยใหม่ค้นพบแล้วว่า น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษกับร่างกายเลย อันที่จริงสิ่งที่ให้โทษกับร่างกายคือน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีหรือน้ำมันพืช ที่เราใช้ปรุงอาหารอยู่ในปัจจุบัน ดังที่เป็นข่าวในอเมริกาว่า ผู้ดำเนินกิจการอาหารฟาสท์ฟู้ดถูกฟ้องฐานทำให้ผู้บริโภคเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะ ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มีกรดไขมันทรานส์มาปรุงอาหาร

    ในทางกลับกันน้ำมันมะพร้าวกลับช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันใน ร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย

    น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษแม้แต่กับเด็กเล็ก เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำนมแม่นั่นเอง วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิด อื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก.


    2. คุณภาพของน้ำมันมะพร้าวที่ดี ดูได้จากอะไรบ้าง ?

    คุณภาพของน้ำมันมะพร้าว เบื้องต้นดูได้จากมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โรงงานที่ผลิต และน้ำมันมะพร้าว ผ่านการตรวจสอบจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความใสไม่มีสี ปราศจากสารปนเปื้อน มีกลิ่นหอม ได้รับการรับรองและเลขสารบบ อย. บนฉลากขวด
    แต่ก็สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ด้วยตนเองง่ายๆ ดังนี้

    2.1. ความใส น้ำมันที่สะอาดจะมีความใส ลักษณะโปร่งแสง แต่อาจเปรียบเทียบคุณภาพความใสที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขวดลักษณะเดียวกัน สีของพลาสติกหรือแก้ว อาจทำให้มีอิทธิพลกับสีได้บ้าง

    2.2. กลิ่น ความหอมของน้ำมันมะพร้าว ต้องหอมอ่อนให้ความรู้สึกว่าเป็นน้ำมันสดใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว ถึงแม้ว่าจะเปิดใช้แล้วกลิ่นต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีผู้ผลิตบางรายดัดแปลงกลิ่น โดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือ กลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป วิธีนี้จะทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดหรือเปิดใช้ หลังจากนั้นความหอมจะจางลง และเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว และทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน

    2.3. ความเบา น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีความเบา มีความหนืดน้อยมาก เวลารับประทานจะผ่านลำคอได้ง่ายและเร็ว มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ในขณะที่กลืนลงคอไม่มีกลิ่นรุนแรง ไม่เลี่ยน

    2.4. ความซึมเข้าสู่ผิว น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว



    3. ใช้น้ำมันมะพร้าวทำอาหารแล้วมีกลิ่น / เทคนิคการรับประทานน้ำมันมะพร้าว

    กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวมีเหตุผล 2 ลักษณะ คือ
    1. ความเคยชินของการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่ใช้สารเคมีฟอกสี ฟอกกลิ่นออกจนหมดจึงไม่ได้กลิ่นเวลาทำอาหาร

    2. น้ำมันพืชบริสุทธิ์ทุกชนิดจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เนื่องจากไม่ได้ใช้สารเคมีใดเข้าไปดัดแปลง น้ำมันมะพร้าวก็เช่นกัน จะมีกลิ่นเฉพาะของน้ำมันมะพร้าว หากผู้บริโภคไม่เคยชิน อาจใส่ใบเตยหรือหอมซอยลงไปในน้ำมันก่อนทอด จะทำให้กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวลดลงได้มาก

    เทคนิคการับประทานน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบต่าง ๆ

    1. ใส่ผสมในน้ำผลไม้ (สูตรของ ดร.ณรงค์โฉมเฉลา ใส่ลงในน้ำส้มคั้นรับประทานทุกวัน)
    2. ใส่ในแกงจืด อาหารแกงต่างๆ
    3. ใช้เป็นน้ำสลัด
    4. ราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม (สูตรนี้เด็กชอบรับประทาน)
    5. ใช้ทอดอาหาร อาหารจะไม่ชุ่มน้ำมัน และมีความกรอบได้นาน
    6. ใส่ลงไปพร้อมการหุงข้าว จะทำให้ได้ข้าวนุ่ม หอม อร่อย (สูตรพิเศษใส่กระเทียมเล็ก 5-6 กลีบ และใบเตยโรยเกลือนิดหน่อยจะยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น)


    4. เวลาน้ำมันมะพร้าวเป็นไข


    น้ำมันและไขมันมีความแตกต่างกันอย่างไร น้ำมัน และไขมันมักจะถูกใช้แทนที่กันเสมอ น้ำมันมีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไขมันมีสถานะเป็นของแข็ง น้ำมันทุกชนิด สามารถกลายเป็นไขได้ แต่ด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกัน น้ำมันมะพร้าวเป็นไข (แข็งตัว มีลักษณะเป็นครีมขาว) ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25๐c เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันอิ่มตัวสูง จึงเปลี่ยนเป็นไขเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสภาพเป็นครีมขาว ณ ที่จุดวางขาย หากมีอุณหภูมิเย็น (และจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำมันใสดังเดิมที่อุณหภูมิสูงกว่า 25?c)

    ไขของน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่น้ำมันเสีย แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำมันชนิดดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อคุณซื้อมาจากชั้นวางขาย หรือวางไว้ในห้องแอร์ น้ำมันมะพร้าวอาจเป็นไขได้ คุณเพียงแต่ละลายไขนั้นด้วยการนำออกไปวางในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ หรือวางไว้ในบริเวณที่ใกล้แสงแดด (ไม่ควรตากแดด เพราะหากลืมทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความร้อนที่สะสมอาจมีผลกับภาชนะบรรจุ)

    ถึงแม้น้ำมันมะพร้าวจะเป็นผลิตผลของพืชเมืองร้อน แต่กลับเป็นที่นิยมของคนที่อยู่ในเขตหนาว การเป็นไขของน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสมจึงใช้เป็นกระปุกปากกว้าง เพื่อใช้ตักแทนการเทริน และขณะนี้การสั่งน้ำมันมะพร้าวออกไปขายยังประเทศเหล่านั้นไม่เพียงพอต่อความ ต้องการ


    5. SHELF LIFE ของน้ำมันมะพร้าว

    น้ำมันมะพร้าวที่ดีจะมี SHELF LIFE (อายุของผลิตภัณฑ์) นานมาก MCFAS (กรดไขมันสายปานกลาง) จะมีคุณสมบัติเป็นสาร ANTIOXIDANTS ทำให้ป้องกันการเสียได้นาน จากผลทดลองในห้อง LAB ของฟิลิปปินส์ น้ำมันมะพร้าวที่บรรจุในกระปุกและเปิดฝาทิ้งไว้ มี SHELF LIFE นานกว่า 5 ปี

    แต่ถ้าน้ำมันมะพร้าวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือ หืนแล้ว ไม่ควรรับประทาน เพราะกลิ่นที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากมีความชื้นเข้าไปรวมตัวกับน้ำมันมะพร้าว เกิดเป็นสารอนุมูลอิสระ

    เพราะฉะนั้นศัตรูที่สำคัญที่สุดของน้ำมันมะพร้าว คือความชื้น ขั้นตอนการ DRY OIL คือการกำจัดความชื้นออกจากน้ำมันมะพร้าว เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อต้องการน้ำมันมะพร้าวที่ดี การดมกลิ่นจึงสามารถใช้เป็นมาตรฐานการเลือกซื้อเบื้องต้นได้ และหลังจากเปิดใช้แล้วควรเก็บให้ห่างจากการเปียกน้ำ และความชื้น จะทำให้มีอายุการใช้งานได้นาน


    6. ทำไมรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วท้องระบาย และทำไมรับประทานน้ำมันแต่ละยี่ห้อท้องระบายไม่เท่ากัน

    ในลำไส้ใหญ่ของเราจะอุดมไปด้วย PROBIOTIC แบคทีเรียชนิดดีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อยีสต์ และเชื้อรา (ซึ่งเป็นสาเหตุของลำไส้ใหญ่อักเสบ เชื้อราในช่องคลอด) เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ซึ่งมีมากใน ผัก ผลไม้ PROBIOTIC จะใช้เอนไซม์ช่วยย่อย สิ่งที่ได้หลังการย่อย จะได้เป็นกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) ในสภาวะที่อุดมไปด้วยกรดไขมันนี้เป็นสภาวะที่เอื้อให้ PROBIOTIC เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การย่อยในลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพสูง จึงขับถ่ายเร็วขึ้น และขับของเสียออกมาอย่างสะดวกสบายท้อง

    น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) จึงมีผลต่อ PROBIOTIC ทันทีที่น้ำมันเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่ ดังนั้นหลังจากรับประทานน้ำมันมะพร้าวไปได้ไม่นาน จะรู้สึกเป็นการกระตุ้นลำไส้ให้ขับถ่าย บวกกับคุณสมบัติความลื่นของไขมันจึงช่วยส่งเสริมให้การขับถ่าย ไหลลื่น สะดวดรวดเร็ว

    การขับถ่ายที่สะดวกนี้ไม่เหมือนการขับถ่ายที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิด สำแดง ไม่มีโทษใดๆ กับร่างกายไม่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียเกลือแร่ ไม่มีผลอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเหมือนเช่นรับประทานยาระบาย เพียงแต่ให้คอยสังเกตว่า ลำไส้ของเรามีความไวต่อเรื่องนี้มากน้อยอย่างไร ปรับจำนวนการรับประทาน และเวลาที่สะดวกในการขับถ่าย ก็จะเหมาะสมและสะดวกขึ้น

    นอกจากคุณสมบัติของ MCFAs ที่ช่วยให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพดีแล้ว และหากคุณใช้น้ำมันมะพร้าวพร้อมกันหลายยี่ห้อและให้ผล จำนวนการรับประทานที่แตกต่างกัน เช่นบางยี่ห้อรับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ บางยี่ห้อต้องรับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะ จึงจะมีผลในการขับถ่ายเหมือนกัน ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่ามีความแตกต่างกันที่ความสะอาดในการผลิต ยี่ห้อที่รับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะน่าจะมีความสะอาดในการผลิตมากกว่า และควรกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบในคุณสมบัติข้ออื่นๆ (จากหัวข้อวิธีดูคุณภาพน้ำมันมะพร้าว ดูได้อย่างไร) หรือสอบถามได้โดยตรงกับผู้ผลิต



    7. ทำไมต้องเลือกชนิดน้ำมันสำหรับทอด หรือ ผัด

    คุณสมบัติของน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับความอิ่มตัว และความยาวของโมเลกุล

    น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง จะมีคุณสมบัติคงสภาพและทนต่อความร้อนได้ดี เมื่อโดนความร้อน หรือความร้อนสูงที่ใช้ในการทอด โมเลกุลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่ยอมให้ ไฮโดรเจน หรือออกซิเจน เข้าไปจับตัวเพิ่ม (ขบวนการ OXIDATION ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ)

    น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เนื่องจากแขนของโมเลกุลยังมีช่องว่างอยู่ ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน จึงเข้าไปจับตัวได้ง่าย เกิดการ OXIDATION เกิดเป็นอนุมูลอิสระ และทำให้น้ำมันเสียได้เร็ว
    สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเสียมีอยู่ 5 วิธี
    1. แสงสว่าง
    2. ความร้อน
    3. ออกซิเจน
    4. ไฮโดรจิเนต (การเติมไฮโดรเจนเข้าไป เพื่อเปลี่ยนจากไขมันไม่อิ่มตัวเป็นอิ่มตัว ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพมาก เรียกว่า TRANS FAT)
    5. โฮโมจิไนซ์ การทำให้ไขมันแตกตัว

    ในขบวนการผลิตน้ำมันผ่านกรรมวิธี โมเลกุลของน้ำมันได้ถูกรบกวนและเกิดเป็นอนุมูลอิสระไปแล้วในระดับหนึ่ง และถ้านำมาใช้ซ้ำอีกขบวนการเกิด TRANS FAT จะเกิดขึ้นได้สูงมาก

    ปัจจุบันคนไทยมีความรู้สึกที่ดีมากกับน้ำมันมะกอก (VIRGIN OLIVE OIL) ให้ค่านิยมว่าเป็นน้ำมันสุขภาพ และนำมาใช้ปรุงอาหารทุกชนิดในครัว

    ถึงแม้ว่าน้ำมันมะกอกจะมีกรดโอเลอิกที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย แต่กลับมีปริมาณไขมันอิ่มตัวเพียง 14% ปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77% และปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง 9% ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้น้ำมันมะกอกไม่มีความคงทนต่อความร้อน จึงควรใช้ประกอบอาหาร เช่น น้ำสลัด หรือ การผัดอาหารที่ใช้น้ำมันไม่มาก และไม่ใช้ความร้อนสูง

    ดังนั้นถ้าต้องการทอดอาหารหรือปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูง อย่างสบายใจจึงควรใช้น้ำมันที่ผลิตโดยวิธีบีบเย็น (COLD PRESSED) และมีความอิ่มตัวสูงเท่านั้น เนื่องจากมีคุณสมบัติทนต่ออากาศ แสง และความร้อนได้ดี ส่วนน้ำมันพืช COLD PRESSED ชนิดอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเกิด OXIDATION จากอากาศและแสง


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.baanmaha.com/community/thread22292.html
    ผู้เขียน  khonsurin
     

    วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

    เครื่องกรองน้ำฝน

    เ ค รื่ อ ง ก ร อ ง น้ำ ฝ น พ ร พิ รุ ณ

    http://www3.pantown.com/data/44055/content1/f1.gifจาก เจตนารมณ์ที่อยากให้ทุกชนชั้น ได้มีน้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพดีถ้วนหน้า นายประสงค์ นิ้มวัฒนา วศ.บ.(จุฬาฯ) วิศวกรผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำดื่ม มีประสบการณ์กว่า 30 ปี จึงได้วิจัยและพัฒนาเครื่องกรองน้ำฝนโดยยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ได้เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ ซึ่งเป็นเครื่องกรองน้ำฝน ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแต่มีราคาต่ำสุด

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ เป็นเครื่องที่ใช้สำหรับกรองน้ำฝนให้เป็นน้ำดื่ม สามารถกรองตะกอนและเชื้อโรคในน้ำฝน ทำให้น้ำฝนสะอาดบริสุทธิ์ มีคุณภาพตามมาตรฐานน้ำดื่มสากล ใช้ดื่มได้โดยไม่ต้องต้ม ใช้งานง่าย ไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรอง ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้น้ำประปา จ่ายเงินเพียงครั้งเดียว มีน้ำสะอาดดื่มได้ตลอดไป ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก

    เครื่อง กรองน้ำฝน พรพิรุณ เป็นเครื่องกรองน้ำ ระบบทรายกรองธรรมชาติ (Slow Sand Filter) ซึ่งเป็นระบบที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ตัวเครื่องทำด้วย ท่อ พีวีซี. อย่างดี ชนิดท่อน้ำดื่ม ตามมาตรฐานกระทรวงอุตสาหกรรม(มอก.) วัสดุกรองเป็นทรายธรรมชาติ ที่ผ่านการคัดขนาด และทำความสะอาดอย่างดี สามารถใช้งานได้ตลอดไป โดยไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ต้องใช้สารเรซิ่น ไม่ต้องใช้สารคาร์บอน ไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ และไม่ต้องใช้ไส้กรองอื่นใด ที่ทำให้ต้องเสียเงินไปซื้อมาเปลี่ยนเป็นประจำ ดังเช่นเครื่องกรองน้ำทั่วไปอีก

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ ไม่ต้องใช้ปั๊ม ไม่ต้องใช้หลอด ยูวี. จึงไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ไม่ต้องซ่อมปั๊ม ไม่ต้องเปลี่ยนหลอด แต่สามารถผลิตน้ำที่มีคุณภาพ ตามมาตรฐานน้ำดื่มสากลได้

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้ช่างต่อท่อประปา เพราะใช้ตะปูเกลียวเพียงตัวเดียว เพื่อยึดตัวเครื่องติดกับผนังเท่านั้น

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ สามารถกรองน้ำได้ประมาณ 1 ลิตร/ชั่วโมง มีช่องสำหรับเก็บน้ำที่กรองแล้ว จุประมาณ 3.5 ลิตร สามารถผลิตน้ำดื่มได้เพียงพอสำหรับบ้านที่มีคนอยู่ 5-6 คน ได้อย่างสบายๆ

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ ใช้งานง่าย เพียงแต่ตักน้ำฝนจากโอ่ง มาเทใส่ท่อข้างซ้าย น้ำก็จะซึมผ่านทรายกรอง มาขึ้นที่ท่อข้างขวาโดยอัตโนมัติ เมื่อต้องการดื่มน้ำ ก็เปิดก๊อกรองจากเครื่องโดยตรง

    เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ นอกจากจะใช้กรองตะกอนและสิ่งสกปรก ที่อยู่ในน้ำฝนได้แล้ว เมื่อใช้งานติดต่อกันไปเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ จะสามารถกรองเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำฝนได้ ท่านสามารถนำน้ำที่ผ่านการกรองไปดื่มได้โดยไม่ต้องต้ม

    การบำรุงรักษา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าท่านไม่ตักเอาตะกอนก้นโอ่งลงไปกรองด้วย ท่านสามารถใช้เครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ ไปได้นานเกิน 10 ปี โดยหน้าทรายกรองไม่อุดตัน การล้างหน้าทรายกรองที่อุดตัน ก็สามารถทำเองได้ไม่ยาก รายละเอียดการใช้งาน มีอยู่ในหนังสือคู่มือเล่มเล็กๆ ที่ให้มาพร้อมกับเครื่อง

    คุณลักษณะของเครื่องกรองน้ำโดยประมาณ :
    - อัตราการกรอง 1 ลิตร / ชั่วโมง
    - จุน้ำกรองแล้วได้ 3.5 ลิตร
    - ขนาดกว้าง 27 ซม.
    - หนา (ไม่รวมก๊อก) 14 ซม.
    - สูง 98 ซม.
    - น้ำหนัก 20 กก.

    ราคา 1,800 บาท
    คู่มือเครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ

    ส่วนประกอบ
    ท่อ พีวีซี. รูปตัว ”U” 1 อัน
    ทรายกรองน้ำฝน 14 กก.
    ก๊อกน้ำบอลล์วาวล์ 1 อัน
    เหยือกน้ำพลาสติก 1 อัน
    ฝาครอบพลาสติก 1 อัน
    ตะปูเกลียว+แป้นยาง ใช้ยึดผนัง 1 อัน
    ตะปูเกลียวตัวเล็ก ใช้ยึดฝาครอบ 1 อัน
    หนังสือคู่มือ (ที่ถืออยู่นี้) 1 เล่ม

    1.การเลือกที่ตั้งเครื่องกรองน้ำฝน
    ที่ตั้งเครื่องกรองน้ำฝน ควรจะอยู่ในบริเวณที่สะดวกกับการใช้งาน เช่น บริเวณห้องอาหาร ห้องครัว หรือบริเวณที่ตั้งโอ่งเก็บน้ำฝน ควรตั้งโดยตรงกับพื้นและอยู่ชิดผนัง.

    2.การติดตั้งเครื่องกรองน้ำฝน
    ให้ติดตั้งก๊อกน้ำเข้ากับเครื่องกรองน้ำฝนก่อน โดยใช้มือหมุนเข้าไป ไม่ควรใช้ประแจขัน แล้วจึงติดตั้งเครื่องกรองน้ำฝน โดยใช้ตะปูเกลียวที่มีแป้นยาง ยึดเครื่องกรองน้ำฝนติดกับผนัง อย่าให้เครื่องกรองน้ำฝนล้มได้ การขันตะปูเกลียว จะต้องขันด้วยความระมัดระวัง อย่าให้หัวตะปูเกลียวกดแป้นยางมากเกินไป ขันเพียงให้หัวตะปูเกลียวแตะแป้นยางก็พอแล้ว มิฉะนั้นอาจทำให้รอยเชื่อม พีวีซี.แตกหักได้.

    3.การบรรจุทรายใส่เครื่องกรองน้ำฝน
    เมื่อยึดเครื่องกรองน้ำฝนติดกับผนังได้มั่นคงแล้ว ตักน้ำสะอาดประมาณ 5 ลิตร ใส่ในเครื่องกรองน้ำฝน แล้วจึงใช้ถ้วยน้ำตักทราย ใส่ในเครื่องกรองน้ำฝน โดยใส่สลับข้างกันไปมา ท่อข้างขวา 1 ถ้วย ท่อข้างซ้าย 1 ถ้วย ค่อยๆใส่ เติมให้ทรายเต็มขึ้นมา เฉลี่ยให้ทรายทั้ง 2 ท่อมีระดับสูงเท่ากัน และอยู่ต่ำจากก๊อกน้ำประมาณ 10 ซม.

    4.การล้างละอองทราย
    ถึงแม้ทรายจะถูกล้างมาอย่างดีแล้ว แต่ในระหว่างการขนส่ง เมล็ดทรายจะเสียดสีกันเอง ทำให้เกิดละอองทราย เมื่อบรรจุทรายลงในเครื่องกรองน้ำฝน จะสังเกตเห็นว่าน้ำขุ่นหรือมีฟองสีน้ำตาลลอยอยู่ จึงควรล้างทรายที่บรรจุลงในเครื่องกรองน้ำแล้วอีกยก โดยใช้น้ำสะอาดเติมลงในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกให้เต็ม ปิดก๊อกน้ำ รอให้น้ำซึมผ่านทรายขึ้นมาในท่อข้างที่มีก๊อกจนเต็ม โดยคอยเติมน้ำในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกให้เต็มอยู่เสมอ ถ้ามีฟองสีน้ำตาลลอยอยู่ ให้ช้อนออก เปิดก๊อกน้ำเต็มที่ ให้น้ำไหลแรงๆ เพื่อพาเอาทรายที่อาจตกค้างอยู่ในก๊อกออกไป ปล่อยน้ำจนหมดแล้วปิดก๊อกน้ำ ทำการล้างทรายเช่นนี้อีกสัก 3-4 ครั้ง ทรายก็จะสะอาด เอาฝาครอบปิดปากท่อข้างที่มีก๊อก ขันตะปูเกลียวตัวเล็ก.

    5.การบ่มทราย
    การบ่มทรายเป็นการทำให้ทรายธรรมดา กลายเป็นทรายที่กรองเชื้อโรคได้ การบ่มทรายสามารถทำได้ โดยการปล่อยน้ำฝนให้ไหลซึมผ่านทรายที่อยู่ในเครื่องกรองน้ำฝน จากข้างที่ไม่มีก๊อกน้ำ ไปสู่ข้างที่มีก๊อกน้ำ ติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ในอัตรา 5 ซีซี./นาทีในสัปดาห์แรก และค่อยๆเพิ่มขึ้นถึง 20 ซีซี./นาทีในสัปดาห์สุดท้าย
    หากจะใช้เครื่องกรองน้ำฝนทันที โดยไม่ทำการบ่มทรายตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ควรนำน้ำที่กรองได้ไปต้มก่อนดื่ม เพราะทรายยังกรองเชื้อโรคไม่ได้ ต่อเมื่อใช้เครื่องกรองน้ำฝนติดต่อกันไปประมาณ 3 เดือน ทรายจึงจะสามารถกรองเชื้อโรคได้เหมือนทรายที่บ่มแล้ว.

    6.การกรองน้ำ
    ตักน้ำฝนที่ต้องการกรอง 1 เหยือก(ประมาณ 2 ลิตร) เทใส่ลงในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกน้ำ น้ำฝนจะค่อยๆซึมผ่านทราย มาขึ้นที่ท่อข้างที่มีก๊อกน้ำ การเทน้ำฝนเข้าไปในเครื่องกรองน้ำฝน ไม่ควรเทครั้งละหลายๆเหยือก แต่ละเหยือกควรเว้นระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง น้ำที่กรองได้จะค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นในท่อข้างที่มีก๊อก เมื่อต้องการใช้น้ำดื่ม ก็สามารถเปิดรองจากก๊อกนี้ได้โดยตรง.

    7.การล้างทรายกรอง
    การใช้เครื่องกรองน้ำฝนโดยปกติแล้ว ถ้าใช้กรองน้ำฝนที่ใส ปราศจากตะกอน จะสามารถใช้เครื่องกรองน้ำฝนได้นานกว่า 10 ปี โดยไม่ต้องล้างทรายกรอง การล้างทรายกรองควรทำต่อเมื่อทรายกรองเกิดการอุดตัน หรือเครื่องกรองน้ำฝนกรองน้ำได้ในอัตราที่น้อยกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมง
    การล้างทรายกรอง ไม่ควรเอาทรายทั้งหมดออกมาล้าง เพราะการอุดตัน เกิดขึ้นเฉพาะส่วนบนของทรายในท่อด้านที่ไม่มีก๊อก การเอาทรายส่วนนี้หนาประมาณ 10 ซม.ออกมาล้าง ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ก่อนนำทรายออกมา ควรใช้ผ้าถูสิ่งสกปรก ที่อยู่ภายในท่อด้านที่ไม่มีก๊อกส่วนที่อยู่เหนือทราย ให้สะอาดก่อน แล้วเติมน้ำให้เต็ม (ท่อด้านที่มีก๊อกก็เติมน้ำให้เต็มด้วย) โดยใช้น้ำที่สะอาด ใช้สายยางทำกาลักน้ำ ดูดเอาทรายส่วนที่ต้องการล้างออกมาพร้อมกับน้ำสกปรก ใส่ลงในถังน้ำ ล้าง ทรายในถังน้ำโดย รินน้ำสกปรกทิ้งไป ระวังอย่าให้ทรายไหลตามน้ำออกไป ใส่น้ำสะอาด และใช้มือทั้งสองข้างกอบทรายขึ้นมาถูในมือ ให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากทราย รินน้ำสกปรกทิ้งไป เติมน้ำสะอาดใส่ถังล้างอีก ทำเช่นนี้หลายๆครั้งจนทรายสะอาด จึงนำทรายใส่กลับไปในเครื่องกรองน้ำฝนอย่างเดิม และทำการบ่มทรายตามวิธีที่กล่าวในข้อ5 แต่ใช้เวลาบ่มเพียงครึ่งเดียวก็ใช้ได้.

    สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และหาซื้อได้ที่ : -
    พรพิรุณ 16 / 29 ซอยธนินทร17 ถนนวิภาวดีรังสิต35 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ โทร. 02 536 1632

    น้ำฝน น้ำดื่มปลอดสารเคมี



     น้ำฝน
    น้ำฝนเป็นน้ำที่ใช้ดื่มกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จนเมื่อ 100 กว่าปีมานี้ เริ่มมีน้ำประปาใช้ ผู้ที่มีน้ำประปาใช้ ค่อยๆเปลี่ยนจากดื่มน้ำฝนไปดื่มน้ำประปา เพราะเห็นกับความสะดวก ไม่ต้องรองน้ำฝน ไม่ต้องตั้งโอ่งน้ำฝนให้เกะกะ จนถึงปัจจุบันค่านิยมค่อยๆ เปลี่ยนไป การดื่มน้ำฝนถูกมองว่าเป็นเรื่องของชาวชนบทที่ไม่มีน้ำประปาจะใช้ หรือเป็นเรื่องของคนจนที่ไม่มีเงินซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด ธุรกิจการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด ธุรกิจเครื่องกรองน้ำประปา และการปล่อยข่าวว่าอากาศมีมลพิษ ฝนเป็นฝนกรด ฝนเหลือง ต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นเหตุให้การใช้น้ำฝนเป็นน้ำดื่มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากการที่ธุรกิจน้ำดื่มเจริญเติบโตขึ้นราวกับดอกเห็ด ธุรกิจร่ำรวยขึ้น แต่ประชาชนยากจนลง เพราะต้องแบ่งเงินไปซื้อน้ำดื่มและสุขภาพก็ทรุดโทรมลงเพราะน้ำที่ดื่มนั้นมี คุณภาพต่ำ ไม่มีใครออกมาให้ข้อมูล หรือชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับน้ำฝนที่จะใช้เป็นน้ำดื่ม ว่ามีความปลอดภัยเพียงไร มีคุณภาพดีกว่าน้ำดื่มชนิดอื่นอย่างไร และจะใช้ดื่มได้อย่างไร
    ความจริงถึงแม้ในปัจจุบันนี้ น้ำฝนก็ยังเป็นน้ำที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ที่จะใช้เป็นน้ำดื่ม น้ำบริโภค ไม่มีน้ำดื่มชนิดไหนจะเทียบได้ เพราะน้ำฝนเป็นน้ำที่เกิดจากการระเหยของน้ำจากทะเล จากมหาสมุทร และจากแหล่งน้ำอื่นๆ รวมตัวกันเป็นเมฆ และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำอันแสนบริสุทธิ์ ระหว่างที่เม็ดฝนตกผ่านอากาศลงมา ได้มีการสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ทำให้น้ำฝนมีรสชาติตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการดื่มกิน ข่าวการเกิดฝนกรดฝนเหลืองอาจจะทำให้คนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ไม่กล้ากินน้ำฝน
    ฝนกรดเคยเกิดเป็นข่าวขึ้นระยะหนึ่งที่บริเวณโรงไฟฟ้า ถ่านหินลิกไนท์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่แม่เมาะ เนื่องจากถ่านหินที่นำไปเผามีกำมะถันอยู่มาก และไม่มีเครื่องกรองอากาศก่อนปล่อยออกจากปล่อง ทำให้มีไอกำมะถันลอยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อมีฝนตกลงมาและชะเอาไอกำมะถันลงมาด้วย ทำให้น้ำฝนมีรสเปรี้ยว อันตรายของฝนกรดที่มีต่อสุขภาพจากการดื่มกินนั้น มีไม่มาก เพราะถ้าฝนตกลงมามีรสเปรี้ยวแล้ว ก็คงจะไม่มีใครกินอยู่แล้ว แต่อันตรายที่ชัดเจนคือ การหายใจเอาไอกำมะถันเข้าไป ทำให้ประชาชนในบริเวณนั้นเป็นโรคทางเดินหายใจกันเกือบหมด แต่ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ทำการติดตั้งเครื่องกรองกำมะถันเพื่อแก้ปัญหา นี้แล้ว
    สภาพความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำฝน เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของสิ่งแวดล้อมหรือมลภาวะของ อากาศ อากาศที่ไม่มีมลภาวะ จะให้น้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งมีค่า pH = 5.6 น้ำฝนที่มีค่า pH น้อยกว่า 5.6 จะถูกเรียกว่า “ ฝนกรด ” การที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ความสนใจกับฝนกรดมาก เพราะฝนกรดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก เช่น ทำให้เกิดการสะสมของกรดในดิน เมื่อดินมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น ดินก็จะกลายเป็นดินเปรี้ยว ใช้เพาะปลูกไม่ได้ ฝนกรดที่ตกลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ จะทำลายระบบนิเวศน์วิทยาในน้ำ มีผลต่อการดำรงชีวิตของปลาและแพลงตอนซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหาร แต่ค่าความเป็นกรดเป็นด่างหรือค่า pH ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ตัดสินได้ว่า น้ำนั้นปลอดภัยสำหรับการบริโภคหรือไม่ ดังจะเห็นได้จากน้ำอัดลมหรือน้ำโซดาที่เราใช้ดื่มเป็นประจำ จะมีค่า pH = 3 น้ำมะเขือเทศมีค่า pH = 4 น้ำมะนาวมีค่า pH = 2 ก็เป็นสิ่งที่เราใช้บริโภคเป็นปกติ ชนิดและปริมาณของสารเคมีต่างหาก ที่จะใช้ตัดสินว่าน้ำนั้นปลอดภัยสำหรับการบริโภคหรือไม่
    กรมอนามัยซึ่งมี หน้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของประชาชน มีหน่วยงานที่คอยเฝ้าระวังคุณภาพของน้ำฝน มีการเก็บตัวอย่างน้ำฝนจากที่ต่างๆ ไม่ว่าในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด มาทำการวิเคราะห์คุณภาพทั้งทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และแบคทีเรีย เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นน้ำดื่ม หากพบว่าน้ำฝนไม่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค ก็จะแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ และเท่าที่ผ่านมา นอกจากที่แม่เมาะแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏว่าน้ำฝนมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานน้ำดื่มที่องค์การอนามัยโลก กำหนด เว้นแต่น้ำฝนที่เก็บกักไว้ในภาชนะที่ไม่สะอาด ก็จะมีแบคทีเรียเกินมาตรฐาน ซึ่งหากนำไปต้มหรือกรองด้วยระบบ Slow Sand Filter เสียก่อน ก็จะสามารถนำมาดื่มได้อย่างปลอดภัย
    ส่วนฝนเหลืองนั้น เกิดในสมัยสงครามเวียดนาม พวกเวียดกงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ทหารอเมริกันขับเครื่องบินมองไม่เห็นพวกเวียดกง เห็นแต่ใบไม้เขียวไปหมด ก็เลยเอาสารเคมีไปโปรยให้ใบไม้ร่วง ปรากฏว่าสารเคมีนั้นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ พอฝนตกลงมาก็ทำให้น้ำฝนมีสีเหลือง คนที่โดนสารเคมีนั้นเข้าไป ต้องเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานเป็นจำนวนมาก อเมริกันถูกนานาชาติประณามในการใช้สารเคมีนั้น หลังจากนั้นมาก็ไม่มีการใช้สารเคมีนั้นอีก ฝนเหลืองจึงเป็นเรื่องของการทำลายล้างกันในยามสงคราม ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในยามสงบสันติ
     คุณภาพแหล่งน้ำ
    หากคิดว่าน้ำฝนเป็นแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด มีสารพิษใช้บริโภคไม่ได้ ก็จะไม่มีแหล่งน้ำที่ไหนในโลกนี้จะสะอาดหรือใช้บริโภคได้ เพราะน้ำฝนเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำทุกชนิดในโลกนี้ น้ำในแม่น้ำลำคลองก็เกิดจากน้ำฝนที่ตกลงมา แถมชะล้างเอาสิ่งสกปรกจากพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นดิน ตะกอน ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี สารเคมี สารพิษต่างๆ น้ำทิ้งจากโรงงาน น้ำทิ้งจากท่อระบายน้ำ และสิ่งปฏิกูลต่างๆ ไหลลงไปรวมอยู่ในแม่น้ำลำคลอง น้ำบาดาลหรือน้ำใต้ดินก็มีต้นกำเนิดมาจากน้ำฝน ที่ไหลซึมผ่านชั้นดิน ชั้นทราย ชั้นหิน ลงไปรวมเป็นแหล่งน้ำบาดาล ซึ่งชั้นต่างๆ ที่น้ำซึมผ่านลงไปนี้สามารถกรองได้เฉพาะตะกอนหรือความขุ่น ทำให้น้ำดูใสขึ้น แต่ก็ไม่สามารถกรองสารเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำออกได้ มีแต่จะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในชั้นดินชั้นหิน เพิ่มเข้าไปอีก ในระบบการผลิตน้ำดื่มชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด หรือเครื่องกรองน้ำประปา ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงระบบที่ช่วยแยกตะกอนออกจากน้ำ ทำน้ำขุ่นให้เป็นน้ำใส ทำน้ำกระด้างให้เป็นน้ำอ่อน ดูดสีดูดกลิ่นออกจากน้ำและฆ่าเชื้อโรคในน้ำเท่านั้น และทุกขั้นตอนของการผลิตน้ำดื่มดังกล่าว ก็มีการใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปอีก ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นสารเคมีที่ไม่มีอันตราย ก็เป็นการอ้างตามความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเท่าที่เครื่องมือในปัจจุบันจะตรวจวิเคราะห์ได้ ซึ่งต่อไปในอนาคตเมื่อมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มขึ้น ก็อาจจะรู้เพิ่มขึ้นอีกว่า สิ่งที่ไม่มีอันตรายในอดีต กลายเป็นสิ่งที่มีอันตรายเสียแล้ว เช่นคลอรีนที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคในน้ำดื่ม ในอดีตก็ว่าปลอดภัย แต่ในปัจจุบันรู้แล้วว่า คลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในน้ำ กลายเป็นสารก่อมะเร็งชื่อ Trihalomethane เป็นต้น
     การรองน้ำฝน
    ปัญหาการปนเปื้อนของน้ำฝนจากมลพิษอื่นๆในอากาศ มีน้อยมาก ไม่มีผลที่จะทำให้น้ำฝนใช้บริโภคไม่ได้ นอกเสียจากว่ามลพิษในอากาศนั้น มีมากจนใช้หายใจไม่ได้ ก็อาจจะทำให้น้ำฝนใช้บริโภคไม่ได้ การรองน้ำฝนในขณะที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ โดยเฉพาะในตอนต้นฤดูฝน จะทำให้ได้น้ำฝนที่ไม่ค่อยสะอาด เนื่องจากหลังคายังสกปรกอยู่ ควรปล่อยให้ฝนตกลงมาชะล้างฝุ่นละอองในอากาศ และพื้นหลังคาที่ใช้รองน้ำฝน ให้สะอาดสักระยะหนึ่งก่อน การรองน้ำฝนควรจะรองในตอนที่ฝนตกหนักๆ หรือตอนที่มีพายุดีเปรสชั่นเข้า จะได้น้ำฝนที่สะอาดที่สุด
    จากวัฏจักรของ น้ำตามธรรมชาติ จะพบว่าน้ำฝนเป็นน้ำที่สะอาดที่สุด เมื่อน้ำฝนตกถึงพื้นดินก็จะค่อยๆ สกปรกมากขึ้น มีการ ชะเอาดินโคลนเข้าไป หากเป็นพื้นที่เกษตรกรรมก็จะมียาฆ่าแมลงและยากำจัดศัตรูพืชเพิ่มเข้าไป เมื่อไหลไปในคลองในแม่น้ำ ก็จะมีโอกาสสกปรกมากยิ่งขึ้น เมื่อลำน้ำนั้นไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรม ก็จะต้องรับน้ำเสียและสารเคมีจากโรงงาน เมื่อไหลผ่านตัวเมืองหรือชุมชน ก็ต้องรับน้ำจากท่อระบายน้ำและสิ่งปฏิกูลต่างๆจากชุมชนนั้น ฉะนั้นน้ำธรรมชาติที่สะอาดที่สุดก็คือ น้ำฝนที่รองเอาไว้ก่อนตกถึงพื้นดิน
    น้ำ ฝนที่เก็บไว้ในโอ่งหรือแท้งค์น้ำ อาจมีจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคปะปนอยู่ ซึ่งจะมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความระมัดระวังในการเก็บ การรักษา และการนำน้ำฝนนั้นมาใช้ ภาชนะเก็บน้ำที่สะอาดและมีฝาปิด การระวังไม่ให้มีสิ่งสกปรกตกลงไปในน้ำ การใช้ขันที่สะอาดและล้างมือให้สะอาด ก่อนที่จะจุ่มลงไปตักน้ำขึ้นมาใช้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความสะอาดของน้ำฝนได้มาก
    การดื่มน้ำฝน
        วิธีนำน้ำฝนไปดื่มมีหลายวิธี ผู้ที่ไม่พิถีพิถันในเรื่องความสะอาดของน้ำที่จะดื่ม และเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้สูง อาจจะดื่มน้ำฝนโดย ใช้ขันตักน้ำฝนในโอ่งไปดื่มโดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เคยดื่มน้ำฝนวิธีนี้เป็นประจำ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานสูง สำหรับผู้ที่พิถีพิถันขึ้นมาหน่อยไม่อยากที่จะดื่มน้ำที่มีมดมีลูกน้ำเข้าไป ด้วย ก็อาจจะใช้ผ้าขาวบางมากรองเสียชั้นหนึ่งก่อน จึงนำไปดื่ม แต่ถ้าจะให้สะอาดปราศจากเชื้อโรค ก็ต้องเอาไปต้มให้เดือด แต่การต้มน้ำนี้ นอกจากจะเปลืองไฟเปลืองแก๊สและไม่สะดวกแล้ว ยังต้องระมัดระวังการถูกน้ำร้อนลวกด้วย นอกจากนี้รสชาติของน้ำฝนที่ไม่ได้ต้ม ยังอร่อยกว่าน้ำฝนที่ต้มแล้ว คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมการต้มน้ำฝนสำหรับดื่ม แต่ตามหลักอนามัยแล้ว น้ำที่ดื่มเข้าไปควรจะปราศจากเชื้อโรค และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการต้มน้ำให้เดือด จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ที่สามารถทำให้น้ำฝนสะอาดปราศจากเชื้อโรคได้โดยไม่ต้องต้ม นั่นคือวิธีกรองด้วยระบบ Slow Sand Filter (ทรายกรองช้า) ซึ่งเป็นระบบกรองน้ำที่มีอยู่ในธรรมชาติ และถูกนำมาใช้กับระบบประปาที่มีแหล่งน้ำดิบ ที่เป็นน้ำใสและมีคุณภาพสูง มานานกว่าศตวรรษแล้ว ปัจจุบันได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำระบบ Slow Sand Filter สำหรับใช้กรองน้ำฝนประจำบ้านแล้ว เครื่องกรองน้ำฝนนี้ เป็นเครื่องที่ทำขึ้นได้ไม่ยาก ผู้ที่มีหัวเป็นช่างสักเล็กน้อย ก็สามารถทำเองได้ โดยเสียเงินซื้อวัสดุไม่เกิน 500 บาท วัสดุก็หาซื้อได้ไม่ยากแม้ในต่างจังหวัด ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำฝนนี้ สามารถหาอ่านได้ใน วารสารน้ำ ของการประปาส่วนภูมิภาค ฉบับเดือน มิถุนายน 2534
    เครื่องกรองน้ำฝนนี้จะ ต่างจากเครื่องกรองน้ำประปาก็ตรงที่ เครื่องกรองน้ำประปาจะเป็นเครื่องที่ต้องต่อเข้ากับท่อประปา ภายในจะมีไส้กรองสำหรับกรองตะกอน และมีการใช้สารเคมีเช่น ถ่านกัมมันต์(Activated Carbon) และสารเรซิ่น(Resin) ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองและสารเคมีเป็นประจำ แต่เครื่องกรองน้ำฝนนี้ไม่ต้องต่อเข้ากับท่อประปา ใช้ตักน้ำฝนจากโอ่งมาใส่เครื่องกรองได้เลย ภายในเครื่องไม่มีการใช้สารเคมี มีแต่ทรายธรรมชาติ ซึ่งเมื่อทำการบ่มทรายเรียบร้อยแล้ว จะสามารถกรองเชื้อโรคออกจากน้ำฝนได้ เครื่องกรองน้ำฝนนี้ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีการบำรุงรักษาเป็นประจำ การกรองน้ำฝนหากตักเอาแต่น้ำใสๆ ไม่ตักเอาตะกอนก้นโอ่งใส่เข้าไปกรองด้วย เครื่องกรองน้ำฝนนี้จะสามารถใช้ได้นานกว่า 10 ปี โดยไม่มีการอุดตันของหน้าทราย ไม่ต้องล้างทรายกรอง ยิ่งใช้นานประสิทธิภาพในการกรองเชื้อโรคยิ่งเพิ่มขึ้น
    น้ำประปา
    น้ำประปานับเป็นน้ำดื่มที่คนส่วนใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในเมืองใช้ดื่มกิน สารเคมีที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตน้ำประปา มีมากกว่า 30 ชนิด จำนวนสารเคมีที่ใช้จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของแหล่งน้ำดิบ ที่นำมาใช้ผลิตน้ำประปา ถ้าแหล่งน้ำดิบมีคุณภาพต่ำก็ต้องใช้สารเคมีหลายชนิด แต่อย่างน้อยที่สุดสารเคมีที่การผลิตน้ำประปาจะขาดไม่ได้คือ คลอรีน ซึ่งใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคในน้ำ แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำประปา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน
    สารเคมีที่ใช้ใน การผลิตน้ำประปาจากน้ำบาดาลจะมีไม่มากนัก เพราะน้ำบาดาลส่วนใหญ่ที่ใช้ผลิตน้ำประปาจะมีคุณภาพดี ใส่คลอรีนอย่างเดียวก็ใช้ได้แล้ว น้ำบาดาลบางแห่ง ที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ก็จำเป็นต้องใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปอีก เช่น น้ำบาดาลที่เป็นน้ำกระด้าง ก็จำเป็นต้องใส่ปูนขาวและโซเดียมคาร์บอเนต หรือใช้สารเรซินช่วยแก้ความกระด้าง ส่วนแหล่งน้ำที่เป็นน้ำผิวดิน เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร อ่างเก็บน้ำ บึง สระ ก็จะต้องใช้สารเคมีมากขึ้น ตามความสกปรกของแหล่งน้ำนั้น สารเคมีที่ต้องนำมาใช้กับน้ำผิวดินแทบทุกชนิด คือ สารส้ม ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับการตกตะกอน ทำให้น้ำใสขึ้น และในกรณีที่ตะกอนในน้ำเป็นตะกอนที่มีน้ำหนักเบา ก็อาจจะมีการใส่สารสังเคราะห์ที่เรียกว่า Polymmer เพื่อช่วยให้การตกตะกอนง่ายขึ้น รวมทั้งการใส่คลอรีนเพื่อทำลายสารอินทรีย์หรือตะไคร่ในน้ำ จุนสีหรือ Copper Sulfate ก็เป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการทำลายตะไคร่น้ำในวงการประปา ในกรณีที่น้ำมีความเป็นกรดเป็นด่างไม่เหมาะสม ก็จะมีการใส่ปูนขาวเข้าไปช่วย แหล่งน้ำผิวดินบางแห่งมีความสกปรกมาก มีปริมาณแมงกานีสสูง ก็อาจจะต้องใส่ด่างทับทิมเข้าไปช่วยแก้ไข น้ำที่มีกลิ่นมีสีก็จะใช้ถ่านกัมมันต์เข้าไปฟอกสีดูดกลิ่นออก เมื่อน้ำผ่านการตกตะกอนและกรองจนใสดีแล้ว ก็จะต้องใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก่อนที่จะจ่ายออกไปให้ผู้ใช้น้ำต่อไป
    คุณภาพ ของแหล่งน้ำดิบที่นำมาผลิตน้ำประปา นับวันจะยิ่งมีคุณภาพต่ำลงทุกที เพราะมลภาวะทางน้ำที่ยากต่อการควบคุม ได้เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาจะถูกเพิ่มขึ้นจากการใช้สารเคมีที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการลงทุนในการสร้างระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อพยายามทำให้น้ำประปาเป็นน้ำที่มีคุณภาพดื่มได้ ทั้งที่ปริมาณของน้ำประปาที่ถูกใช้เป็นน้ำดื่มหรือน้ำบริโภคมีเพียง 1%เท่านั้น ส่วนน้ำประปาอีก 99% ถูกใช้เป็นน้ำอุปโภค หมายความว่า ในบ้านทั่วๆไป จะใช้น้ำประปาวันละประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือ ประมาณ 1,000 ลิตร น้ำประปา 1,000 ลิตรนี้ จะถูกใช้เป็นน้ำดื่ม, น้ำหุงข้าว ต้มแกง ประมาณ 10 ลิตร ที่เหลืออีก 990 ลิตร จะถูกใช้เป็นน้ำล้างชาม, ซักผ้า, อาบน้ำ, ถูบ้าน, ล้างรถ,รดต้นไม้, ชักโครก, ฯลฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพดีเท่าน้ำสำหรับการบริโภค การทำน้ำประปาให้เป็นน้ำที่มีคุณภาพสำหรับการบริโภค จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำน้ำประปาให้มีคุณภาพเพียงแค่ให้เป็นน้ำอุปโภค หลายเท่า และการใช้น้ำที่บริโภคได้ ไปใช้เพื่อการอุปโภค ก็เป็นการสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจอย่างมาก ดังนั้นเมื่อมลภาวะในแหล่งน้ำดิบมีมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำประปาที่มีคุณภาพดีพอสำหรับการบริโภค หรือผลิตได้ในราคาค่าน้ำที่ผู้ใช้น้ำประปาจะยอมรับได้ การผลิตน้ำประปาในตอนนั้น ก็คงจะทำให้มีคุณภาพเพียงเป็นน้ำสำหรับอุปโภคเท่านั้น ส่วนน้ำบริโภคหากไม่มีน้ำฝน ก็คงต้องพึ่งน้ำดื่มบรรจุขวดโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
    หากการประปาสามารถรอง น้ำฝนมาผลิตน้ำประปาได้ ก็จะไม่ต้องใช้สารเคมีมากและจะได้น้ำประปาที่สะอาดที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะการผลิตน้ำประปาต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ต่อให้สร้างหลังคาคลุมหมดทั้งเมือง ก็รองน้ำฝนได้ไม่พอผลิตน้ำประปา การประปาจึงจำเป็นต้องใช้แหล่งน้ำ ที่สามารถให้น้ำได้ในปริมาณมากๆ ติดต่อกันตลอดทั้งปี เช่น น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง อ่างเก็บน้ำ หรือน้ำบาดาล จึงทำให้การใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากในการผลิตน้ำประปา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    ถึงแม้จะมีการยืนยันว่า น้ำประปาปลอดภัยดื่มได้จากก๊อก แต่ก็คงจะมีผู้ที่รองน้ำประปาจากก๊อกมาดื่มโดยตรง ไม่มากนัก นอกจากเป็นกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะดื่มน้ำประปา โดยการนำไปต้มก่อน หรือไม่เช่นนั้น ก็มีการใช้เครื่องกรองน้ำประปา และคงจะมีจำนวนไม่น้อย ที่กรองด้วยเครื่องกรองน้ำประปาแล้ว ยังนำไปต้มอีก จึงจะนำมาดื่ม


    เครื่องกรองน้ำประปา
    ปัจจุบันผู้ดื่มน้ำประปา เป็นจำนวนมาก พยายามทำให้น้ำประปาน่าดื่มยิ่งขึ้น โดยการติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพื่อกรองน้ำประปาไว้สำหรับดื่ม ซึ่งเครื่องกรองน้ำประปาที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่ ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ติดตั้งได้ คือ สามารถทำให้น้ำประปาใสขึ้นและปราศจากกลิ่นคลอรีน แต่ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับสารเคมีเพิ่มขึ้น จากการที่น้ำไหลผ่านเครื่องกรองน้ำนั้น
    เครื่องกรองน้ำประปาที่ติดตั้ง ตามบ้านส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวัสดุกรอง ซึ่งอาจจะเป็นเยื่อบางๆ หรือเป็นแท่งใยสังเคราะห์สำหรับกรองตะกอนที่อยู่ในน้ำ ทำให้น้ำดูใสขึ้น ซึ่งการผลิตวัสดุกรองนี้ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้สารเคมี และเมื่อน้ำผ่านวัสดุกรองนี้ ก็อาจจะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในวัสดุกรองออกมาได้ เครื่องกรองน้ำบางชนิด มีการใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปเพื่อช่วยยืดอายุของวัสดุกรองไม่ให้ตันเร็ว ส่วนตัวสารเคมีที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำจริงๆ ที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำทั่วไปได้แก่ ถ่านกัมมันต์ ซึ่งมีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดแท่ง ถ่านกัมมันต์จะเป็นตัวดูดซับกลิ่นและสีที่อยู่ในน้ำ รวมทั้งสารเคมีต่างๆ มาไว้ในตัวมันเอง แต่บางครั้งถ่านกัมมันต์ที่มีอนุภาคเล็กมาก ก็อาจจะหลุดลอยตามน้ำออกมา โดยมีสารเคมีที่มันดูดซับไว้ ติดออกมาด้วย เครื่องกรองน้ำบางเครื่องจะมีสารเรซิน สำหรับทำให้น้ำกระด้างกลายเป็นน้ำอ่อน น้ำมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งสารเรซินนี้จะทำหน้าที่แลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าทางเคมีในน้ำ ซึ่งละอองของสารเรซินนี้ก็อาจจะหลุดลอยออกมากับน้ำได้
    เครื่องกรองน้ำบาง ชนิด ใช้ไส้กรองแบบ Reverse Osmosis (RO.) ซึ่งเป็นไส้กรองที่มีราคาแพง ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ ไส้กรองนี้จะใช้น้ำเปลืองมาก การกรองน้ำ 100 ลิตร จะได้น้ำสะอาดประมาณ 15 ลิตร น้ำที่เหลือ 85 ลิตร ต้องระบายทิ้งไป บางยี่ห้อบางรุ่นได้น้ำสะอาดเพียง 5 ลิตรและระบายทิ้งไป 95 ลิตรก็มี ไส้กรองแบบนี้เหมาะสำหรับการกรองน้ำทะเล เพราะน้ำทะเลไม่มีราคา และมีปริมาณไม่จำกัด แต่การนำมาใช้กรองน้ำประปา น้ำประปาจะถูกระบายทิ้งไปเป็นจำนวนมากอย่างน่าเสียดาย ไส้กรองแบบนี้ต้องใช้แรงดันน้ำมากประมาณ 200 psi. หรือ ประมาณ 20 เท่าของแรงดันน้ำประปาปกติ การกรองน้ำจึงต้องสิ้นเปลืองกระแสไฟฟ้าในการขับเครื่องสูบน้ำที่มีแรงดันสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีในน้ำที่ใช้ไส้กรองแบบนี้ เพียงเพื่อยืดอายุของไส้กรองให้ใช้งานได้นานขึ้น ไม่ใช่เพื่อทำให้น้ำที่กรองออกมามีคุณภาพดีขึ้น และเนื่องจากไส้กรองแบบนี้ไม่ใช่วัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นวัสดุที่ทำจากสารสังเคราะห์ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารสังเคราะห์นี้ จึงเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะปฏิกิริยาของแรงดันอันมหาศาล ที่สามารถแยกอนุภาคของแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำให้แยกออกจากน้ำได้ จะมีผลข้างเคียงอะไร หรือจะกดดันให้สารสังเคราะห์นี้ปล่อยสารอันตรายอะไรตามออกมาอีก ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกได้
    จากความเข้าใจที่ว่าน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ บริสุทธิ์ จึงได้มีผู้ผลิตเครื่องกลั่นน้ำประจำบ้านสำหรับทำน้ำดื่มขึ้น การกลั่นน้ำนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามาก เพราะจะต้องใช้ไฟฟ้าต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอตลอดเวลา และสิ้นเปลืองน้ำมากเพราะต้องปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาเป็นการระบายความร้อน เพื่อทำให้ไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ความจริงน้ำกลั่นไม่ควรที่จะใช้เป็นน้ำดื่มในชีวิตประจำวัน น้ำกลั่นเหมาะที่จะใช้สำหรับเติมแบตเตอรี่หรือใช้ในห้องทดลอง คุณสมบัติที่เป็นอันตรายของน้ำกลั่นก็คือ ความบริสุทธิ์ น้ำที่บริสุทธิ์ 100% จะมีความสามารถในการละลาย (Solubility) ได้สูงมาก สารพิษที่อยู่ในเนื้อโลหะหรือเนื้อพลาสติกที่น้ำกลั่นสัมผัส จึงมีโอกาสที่จะถูกละลายออกมาอยู่ในน้ำกลั่นได้มาก


    น้ำดื่มบรรจุขวด
    น้ำ ดื่มบรรจุขวดซึ่งมีขายอยู่ทั่วไป นับเป็นน้ำดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเป็นน้ำที่สะอาดและปลอดภัย ทั้งที่น้ำดื่มบรรจุขวดส่วนมาก ก็ผลิตจากน้ำประปาซึ่งเต็มไปด้วยสารเคมีดังที่กล่าวมาแล้ว การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดส่วนใหญ่ จะใช้เครื่องกรองน้ำที่มีระบบการทำงานคล้ายกับเครื่องกรองน้ำที่ใช้ตามบ้าน เพียงแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่า มีความสามารถในการผลิตน้ำได้มากกว่า โดยมีการใช้สารเคมีทำนองเดียวกับสารเคมีที่ใช้กับเครื่องกรองน้ำตามบ้านที่ กล่าวมาแล้ว สารเคมีที่อาจจะมีเพิ่มเติมเข้ามาในน้ำดื่มบรรจุขวดก็คือ สารเคมีที่อยู่ในเนื้อพลาสติกที่ใช้ทำขวดบรรจุน้ำดื่มนั้นนั่นเอง น้ำที่แช่อยู่ในขวดพลาสติกนานๆ ก็อาจจะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในเนื้อพลาสติกออกมาได้ไม่มากก็น้อย


    การดื่มน้ำที่มีสารเคมี
    น้ำ ดื่มที่ผ่านกระบวนการผลิตที่สลับซับซ้อน และใช้สารเคมีชนิดต่างๆ สามารถผลิตน้ำให้ดูใสสะอาดปราศจากสีปราศจากกลิ่น ไม่ได้เป็นสิ่งที่แสดงว่าน้ำนั้นไม่มีสิ่งที่เป็นอันตรายเจือปนอยู่ สารเคมีที่มีอันตรายเป็นจำนวนมาก สามารถละลายตัวอยู่ในน้ำ โดยไม่ปรากฏสีและกลิ่นให้สัมผัสได้ ปริมาณของสารเคมีถึงแม้จะมีเพียงน้อยนิด แค่หนึ่งส่วนในล้านส่วน ก็อาจจะถือว่าอันตรายได้ อันตรายในน้ำดื่ม ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้รู้ได้ ด้วยการดื่มน้ำนั้นเพียงแก้วเดียว แม้จะดื่มสัก 10แก้ว 100แก้ว หรือดื่มไปเป็นปีๆ ก็อาจจะยังไม่รู้สึกผิดปกติ เพราะสารเคมีนั้นยังสะสมอยู่ในร่างกายไม่มากพอ กว่าจะรู้สึกผิดปกติหรือมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ก็อาจจะต้องดื่มน้ำนั้นติดต่อกันเป็นสิบๆ ปี น้ำดื่มนี้เราไม่ได้ดื่มเพียงสิบๆ ปี แต่เราต้องดื่มไปตลอดชีวิต ซึ่งอาจจะเป็น 60ปี, 70ปี หรือนานกว่านี้ก็ได้ จึงไม่สมควรที่จะยอมให้มีสิ่งที่เป็นอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย มาอยู่ในน้ำที่เราใช้ดื่มเป็นประจำ นอกจากจะใช้ ดื่มแก้ขัด ชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้น
    สารเคมีที่บริโภคเข้าไปวันละเล็กวันละน้อย ถึงแม้จะมีการรับรองกันว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะสารเคมีเป็นสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่มีตามธรรมชาติ เป็นสิ่งแปลกปลอมในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง การดำรงชีวิตจึงควรจะเป็นไปตามธรรมชาติให้มากที่สุด การบริโภคสารเคมีจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด


    การพิสูจน์น้ำดื่ม
    น้ำ ฝนหากไม่ได้ถูกใช้เป็นน้ำดื่มมาตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ในโลกนี้ น้ำฝนก็น่าจะถูกใช้เป็นน้ำดื่มมานานหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว มนุษย์สามารถสืบเผ่าพันธุ์ต่อมา โดยไม่มีใครรู้จักโรคมะเร็ง น้ำประปาถูกทดลองใช้เป็นน้ำดื่มเมื่อมีการสร้างระบบประปาขึ้นมา ซึ่งระบบประปาก็ถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านไปนี้เอง และโรคมะเร็งก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในยุคนี้ น้ำดื่มบรรจุขวดก็เพิ่งจะแพร่หลายเมื่อ 10 กว่าปีนี้เอง ปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำดื่มชนิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา เช่น การผลิตน้ำดื่มด้วยระบบรีเวิร์สออสโมซีส การผลิตน้ำดื่มด้วยเครื่องกลั่นน้ำ การที่จะพิสูจน์ว่าน้ำดื่มชนิดไหนไม่ปลอดภัย คงต้องใช้เวลาอีกนาน ความรู้และเครื่องมือเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่ามีอันตรายอะไร จึงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งธุระกิจน้ำดื่มเหล่านี้ได้ ต้องปล่อยให้ผู้ที่ชอบทดลองของใหม่ ทดลองดื่มไปเรื่อยๆก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วอายุคน กว่าจะรู้คำตอบ แต่ในระหว่างที่ยังไม่มีคำตอบ เราก็สามารถป้องกันตัวเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่มีสารเคมี หันไปดื่มน้ำฝนธรรมชาติ ซึ่งเป็นน้ำดื่มที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นน้ำดื่มที่ปลอดภัย โดยบรรพบุรุษของเราซึ่งดื่มน้ำฝนนี้มาตลอด และสามารถสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์มาจนถึงปัจจุบันได้
    ในการผลิตน้ำดื่ม ชนิดต่างๆที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าน้ำฝนสามารถทำให้เป็นน้ำดื่มได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะน้ำฝนที่รองจากหลังคาเก็บไว้ในโอ่งจะเป็นน้ำที่สะอาดที่สุด ส่วนน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด หรือน้ำดื่มจากเครื่องกรองน้ำประปา ล้วนแต่ต้องใช้สารเคมีทั้งนั้น จำนวนสารเคมีที่ใช้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่นำมาผลิตว่ามีความ สกปรกมากหรือน้อย ยิ่งสกปรกมากก็ยิ่งต้องใช้สารเคมีมาก น้ำฝนจึงเป็นน้ำดื่มชนิดเดียวที่ปลอดสารเคมี

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.rain.pantown.com/
    น้ำดื่มปลอดสารเคมี
    โดย
    ประสงค์ นิ้มวัฒนา วศ.บ.(จุฬาฯ)