วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชุดดอกไม้ไทย ตอน ดอกกุหลาบ

    

           กุหลาบนับว่าเป็นไม้ดอกที่มีความงามยากที่ไม้ดอกอื่นจะเทียบเท่า จนได้รับชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งดอกไม้" (Queen of flower) กุหลาบมีมานานประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว มีทั้งหมดประมาณ 200 สปีชี่ส์ พันธุ์ดั้งเดิม (wild species) มีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ส่วนกุหลาบที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันเป็นกุหลาบที่ผ่านการวิวัฒนาการมานานนับร้อยๆ ปี และทั้งหมดเป็นกุหลาบลูกผสมซึ่งได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างกุหลาบ 1-8 สปีชี่ส์ และส่วนมากมีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กุหลาบจัดเป็นไม้ดอกประเภทพุ่ม-พลัดใบ มีลำต้นตั้งตรงหรือเลื้อย แข็งแรงมีใบย่อย 3-5 ใบ ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันและมีรอยย่นเล็กน้อย ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มี 2 เพศในดอกเดียวกัน มีเกสรตัวผู้และตัวเมียเป็นจำนวนมาก มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน การจำแนกตามลักษณะสีของดอกแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
  1. Single color มีสีของกลีบดอกสีเดียว ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังของดอก และทุก ๆ กลีบมีสีเหมือนกัน เช่น พันธุ์Christian Dior
  2. Multi-color มีสีของกลีบดอกเปลี่ยนไปตามอายุการบานดอก ในช่วงหนึ่งจะมีหลายสีเพราะบานดอกไม่พร้อมกัน ส่วนมากจะเป็นกุหลาบพวง เช่น พันธุ์ Sambra หรือ Charleston
  3. Bi-color มีสีของกลีบดอก 2 สี คือ กลีบด้านในสีหนึ่ง ด้านนอกอีกสีหนึ่ง เช่น พันธุ์ Forty Niner
  4. Blend-color มีสีของกลีบดอกด้านในมากกว่า 2 สีขึ้นไป เช่น พันธุ์ Monte Carlo
  5. Srtiped color กลีบดอกในแต่ละกลีบมีสีมากกว่า 2 สีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเกิดเป็นสีสลับกันเป็นเส้นตามความยาวของกลีบดอก เช่น พันธุ์ Candy Stripe
พันธุ์ที่ใช้ปลูก
  • พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ คริสเตียนดิออร์ สวาทมอร์ สคาร์เลทไนท์
  • พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ เบลแองจ์ ควีนอลิซาเบท มีสออลอเมริกันบิวตี้
  • พันธุ์ดอกสีแสด ได้แก่ ซุปเปอร์สตาร์ ธัญญา โบเต้
  • พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ คิงส์แรนซัม โกลเด้นมาสเตอพิส โบเต้ กลาย
  • พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ มิสตี้เมอร์
  • พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ บูลมูน
การปลูกและดูแลรักษา

     กุหลาบควรปลูกในฤดูฝนและฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน เนื่องจากกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ต้นกุหลาบที่เติบโตเต็มที่ ดอกมีคุณภาพ กุหลาบเป็นไม้ดอกที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชม. ดังนั้นควรปลูกในที่โล่งแจ้งและอับลม หรือปลูกทางด้านทิศตะวันออกให้กุหลาบได้รับแสงในตอนเช้า ดินมีการระบายน้ำดี วิธีทดสอบง่ายๆ คือขุดดินที่จะปลูกเป็นหลุมลึกประมาณ 50 ซม. แล้วใส่น้ำให้เต็มทิ้งไว้ 2 ชม. ถ้าหากน้ำซึมหายไปหมดจากหลุมแสดงว่าที่นั้นๆ ใช้ปลูกกุหลาบได้ ดินปลูกควรมีค่า pH ประมาณ 5.5-6.5 คือเป็นกรดเล็กน้อยและมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ เวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำกุหลาบคือ เวลาเช้าระหว่างที่แสงอาทิตย์ยังอ่อนอยู่ กุหลาบเป็นพืชที่ชอบน้ำ แต่ถ้ารดมากจนน้ำขังก็ไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงการรดให้เปียกทั้งต้นและดอก เพราะจะเป็นการช่วยให้เกิดและแพร่โรคได้ง่ายและเร็วขึ้น ถ้ารดจนโชกก็ไม่จำเป็นต้องรดทุกวันก็ได้ กุหลาบต้องการความชื้นและอากาศในดิน ดังนั้นจึงควรทำการคลุมดินโดยใช้ หญ้าแห้ง ฟาง เปลือกถั่วลิสง ขุยมะพร้าว หรือแกลบดิบ มาคลุมดินรอบๆ ต้นกุหลาบหนาประมาณ 2-3 นิ้ว และถ้าเป็นไปได้ก่อนคลุมดินควรหาทางทำให้วัสดุคลุมดินเปียกชื้นก่อน มิเช่นนั้นต้องรดน้ำในระยะแรกๆ บ่อยแลหลายๆ ครั้ง

บทกลอนจากเรื่อง รามเกียรตื์

   เที่ยวชมแถวขั้นรุกขชาติ
ดอกเกลื่อนดกกลาดหนักหนา
กาหลงกุหลาบกระดังงา
การะเกดกรรณิการ์ลำดวน…”
  
ผู้ประพันธ์ : พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ขอบคุณ
อุทยานดอกไม้
Flowers in heaven
และรูปภาพสวยๆจากอินเตอร์เนต
 

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชุดดอกไม้ไทย ตอน ดอก ปีบ

ดอกปีบ (กาสะลอง)
*ดอกไม้ประจำวิชาชีพ พยาบาล
 
 
ปีบ ภาษาอังกฤษ Cork Tree, Indian Cork ปีบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f. จัดอยู่ในวงศ์ BIGNONIACEAE เช่นเดียวกับปีบทอง แคหางค่าง แคทะเล แคนา แคแสด แคหัวหมู น้ำเต้าต้น เพกา รุ่งอรุณ และไส้กรอกแอฟริกา
ต้นปีบ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เช่น เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), กาซะลอง กาสะลอง กาดสะลอง กาสะลองคำ (ภาคเหนือ), ปีบ ก้องกลาง ดง (ภาคกลาง) กางของ (ภาคอีสาน) เป็นต้น โดยต้นปีบเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของพม่าและไทย ที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และทางภาควันออกเฉียงเหนือ

ลักษณะของปีบ

  • ต้นปีบ เป็น ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรง มีความสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก มีช่องอากาศ รากเกิดเป็นหน่อเจริญเป็นต้นใหม่ได้ โดยขยายพันธุ์ด้วยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากรากรอบๆของต้นแม่ นำมาตัดเป็นท่อนสั้นๆ แล้วนำมาปักชำในกระบะกรวยที่ผสมด้วยขี้เถ้าแกลบก็ได้
ต้นปีป
  • ใบปีบ ลักษณะ ของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น มีความกว้างประมาณ 13-20 เซนติเมตร และยาวประมาณ 16-26 เซนติเมตร ก้านใบยาว 3.5-6 เซนติเมตร ที่ตัวใบจะประกอบไปด้วยแกนกลางยาวประมาณ 13-19 เซนติเมตร มีใบย่อย 4-6 คู่ กว้างประมาณ 2.5-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ลักษณะใบมีรูปร่างคล้ายรูปหอกแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบหยักเป็นซี่หยาบๆ เนื้อใบเกลี้ยงบางคล้ายกับกระดาษ
  • ดอกปีบ ลักษณะ ออกดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง มีความยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร ดอกย่อยจะประกอบไปด้วย กลีบเลี้ยงสีเขียว ดอกมีกลิ่นหอม มีความกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร เชื่อมกันเป็นหลอดปากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกล่างค่อนข้างแหลม มีเกสรตัวผู้จำนวน 4 อัน สองคู่จะยาวไม่เท่ากัน และมีเกสรตัวเมียจำนวน 1 อัน อยู่เหนือวงกลีบ โดยดอกปีบจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม
ดอกปีบ
  • ผลปีบ ลักษณะเป็นผลแห้งแตก ผลแบนยาวขอบขนาน มีเนื้อและเมล็ดจำนวนมาก เป็นแผ่นบางมีปีก
นอกจากนี้ ต้นปีบยังเป็นสมุนไพรที่ในตำราไทยนำมาใช้ในการรักษาอาการและโรคต่างๆ ได้หลายชนิด โดยส่วนที่นำมาใช้ก็เป็นยาก็ได้แก่ ราก ดอก และใบ

สรรพคุณของปีบ

  1. ใบปีบสรรพคุณดอกปีบช่วยบำรุงกำลัง (ดอก)
  2. ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก)
  3. สรรพคุณปีบ รากช่วยบำรุงปอด (ราก)
  4. ช่วยรักษาวัณโรค (ราก)
  5. ดอกปีบ สรรพคุณทางยาช่วยรักษาไซนัสอักเสบ (ดอก)
  6. ช่วยรักษาริดสีดวงจมูก ด้วยการใช้ดอกที่ตากแห้งแล้วนำมามวนเป็นบุหรี่สูบเพื่อรักษาอาการ (ดอก)
  7. ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย ทำให้ระบบการหายใจดียิ่งขึ้น ด้วยการใช้ดอกปีบแห้งประมาณ 6-7 ดอก แล้วมวนเป็นบุหรี่สูบ เพื่อรักษาอาการหอบหืดได้ (ราก,ดอก)
  8. ช่วยรักษาปอดพิการ (ราก)
  9. สรรพคุณของปีบ ดอกช่วยแก้ลม (ดอก)
  10. ใบใช้มวนเป็นบุหรี่สูบแทนฝิ่น เพื่อช่วยขยายหลอดลม และรักษาอาการหอบหืดได้เช่นกัน (ใบ)
เพิ่มเติม : นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสกัดส่วนต่างๆของต้นปีบ เพื่อหาสารที่มีฤทธิ์ในการรักษา โดยสามารถตรวจพบสาร Scutellarein, Hispidulin, Scutellarein-5-galactoside จากดอกปีบ และพบสาร Hispidulin จากใบของต้นปีบ ส่วนในรากนั้นพบสาร Hentriacontane, Lapachol, Hentria contanol-1, B-stosterol, Paulownin ในส่วนของผลพบ Acetyl oleanolic acid และในส่วนของเปลือกต้นและแก่นไม้ พบสาร B-stosterol โดยนำมาสกัดออกจากดอกปีบแห้ง แล้วนำส่วนต่างๆเหล่านี้มาทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าส่วนที่สกัดจากคลอโรฟอร์ม มีฤทธิ์ในการขยายหลอดลม ในขณะที่ส่วนสกัด Butanol และน้ำมีฤทธิ์ทำให้หลอมลมหดตัว และยังพบว่าส่วนสกัดแยกส่วนด้วย Butamol จากสารสกัดด้วยน้ำนั้นมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดลม ซึ่งจากการศึกษา เชื่อว่าสาร Hispifulin นั้นมีบทบาทในการขยายหลอดลม แต่อย่างไรก็ตามการที่จะอธิบายว่าผลที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากสารสกัดตัวใดนั้น ยังให้คำตอบไม่ได้ คงต้องศึกษาสาระสำคัญแยกกันไปอีก
advertisements

ประโยชน์ของปีบ

  1. ดอกนำมาแตกแห้งแล้วผสมกับยาสูบมวนบุหรี่ ใช้สูบทำให้ชุ่มคอ ทำให้ปากหอม และยังมีกลิ่นควันบุหรี่ที่หอมดีอีกด้วย
  2. ประโยชน์ของดอกปีบ ดอกช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดี (cholagogue) และเพิ่มรสชาติ (ดอก)
  3. ดอกปีบนำมาตากแห้ง นำมาชงใส่น้ำร้อนดื่มเป็นชาก็ได้ โดยดอกปีบชงนี้จะมีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ มีรสชาติหวานแบบนุ่มนวล และไม่ขมแถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
  4. สารสกัดจากใบที่สกัดด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของคะน้า (ใบ)
  5. ประโยชน์ของปีบ เนื้อไม้ของต้นปีบมีสีขาวอ่อน สามารถเลื่อยหรือไสกบเพื่อตกแต่งให้ขึ้นเงาได้ง่าย จึงเหมาะแก่การนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องตกแต่งภายในบ้านได้
  6. เปลือกของต้นปีบ เมื่อก่อนสามารถนำมาใช้แทนไม้ก๊อกสำหรับทุกจุกขวดได้
  7. ประโยชน์ของต้นปีบ ปีบเป็นไม้พุ่มมีใบและดอกสวย แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย จึงสามารถปลูกไว้ประดับสวน ปลูกเพื่อให้ร่มเงาในลานจอดรถ หรือริมถนนข้างทาง และที่สำคัญต้นไม้ชนิดนี้ยังทนน้ำท่วมขังได้ดีอีกด้วย
  8. ดอกปีบ เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาลไทย โดยความหมายของต้นไม้ชนิดนี้ คือ เป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่นแก่ชีวิต ซึ่งหมายถึง “พยาบาล” และดอกปีบ ยังหมายถึงยาอายุวัฒนะ ซึ่งเปรียบเสมือนพยาบาล ที่ให้การดูแลรักษาและส่งเสริมสุขภาพแก่คนทั่วไป ต้นปีบเป็นต้นไม้ที่โตเร็ว เกิดขึ้นได้ในป่าทุกชนิด สามารถช่วยสร้างเสริมธรรมชาติที่ชุมและดำรงชีวิตให้แก่มวลมนุษย์ตลอดกาล เช่นเดียวกับพยาบาล ที่จะเป็นการบริการสุขภาพที่มีความจำเป็นต่อสังคมตลอดไป (ดอกปีบยังเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดปราจีนบุรีและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนาอีกด้วย)
  9. ต้นปีบ กับความเชื่อ การปลูกต้นปีบเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน การปลูกไว้ประจำบ้านจะทำให้เก็บเงินเก็บทองได้มากขึ้น และยังทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย โดยควรปลูกต้นปีบไว้ในทางทิศตะวันตกและผู้ปลูกควรปลูกในเสาร์เพื่อเอาคุณ แต่ถ้าจะให้เป็นมงคลมากยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ที่เกิดในวันจันทร์ (ส่วนผู้อยู่อาศัยหากเกิดวันจันทร์ด้วยแล้วจะยิ่งเป็นสิริมงคลยิ่งนัก) เพราะปีบเป็นดอกไม้ประจำของนางโคราคะเทวี ซึ่งเป็นนางประจำวันจันทร์ในธิดาของพระอินทร์นั่นเอง

 ขอขอบคุณ

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม), ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), เว็บไซต์หมอชาวบ้าน (เดชา ศิริภัทร)
ภาพประกอบ : www.fwmail.teenee.com, www.biogang.net, www.media.ijanaagraha.org
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม
 

พิษจากเครื่องสำอาง

พิษจากเครื่องสำอาง

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศรายชื่อเครื่องสำอางที่มีสารห้ามใช้
ที่เป็นอันตรายเพิ่มเติมอีก 26 รายการ ที่เก็บตัวอย่างจากร้านจำหน่ายเครื่องสำอางในเขต กรุงเทพฯ และนนทบุรี   หลังตรวจพบสารประกอบของปรอท ไฮโดรควิโนน กรดเรทิโนอิก และจุลินทรีย์ ปนเปื้อน อยู่ด้วย ขออย่าได้ซื้อเครื่องสำอางทั้ง 26 รายการนี้ มาใช้อย่างเด็ดขาด
มีรายการ  ดังนี้  
( ที่มา  http://www.thairath.co.th/content/edu/82020 )


                                            
    

                                                                                      ภาพที่ 1  อย.
                                                      ( ที่มา  http://www.thairath.co.th/content/edu/82020 )
        ตรวจพบสารประกอบของปรอท ได้แก่
          1.) S.S.Night Cream ครีมก่อนนอน (1)
          2.) ครีมชุดน้ำนมข้าว หน้าเด้ง หน้าใส น้ำนมข้าวแท้ 100%
          3.) สุภัชชา โสมสมุนไพร
          4.) หน้าเด้ง หน้าใส น้ำนมข้าวแท้ 100%
          5.) ครีมนมแพะ
          6.) ไพลสดแท้ 100% (ชุดบำรุงหน้า รักษาสิว ฝ้า จุดดำ (คุณหมอจุฬา)
          7.) SUO BAI NING Whitening cream NIGHT CREAM
          8.) ครีมรกแกะผสมใยไหม
          9.) ครีมโสมเห็ดหลินจือ กวาวเครือ
          10.) BASCHI FADE-OUT CREAM DAY CREAM
          11.) BAOJU WHITENING CREAM DAY CREAM
          12.) YANKO Fade-out Cream Day Cream YK-868
          13.) atlie Day Cream โดยลำดับที่ 1-13 ไม่ระบุผู้ผลิต / ผู้จำหน่าย
          
เลขที่ผลิตและวันที่ผลิต
          14) Fruity VITAMIN C ระบุผลิตโดย บริษัท K.K.T. คอสเมติก จำกัด
          28/24 ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ แต่ไม่ระบุเลขที่ผลิต
          และวันที่ผลิต
          15.) Mild & mind ครีมโสมผสมหัวไชเท้าสกัด ระบุผู้ผลิตคือ บริษัท มายด์แอนด์
          มายด์  
คอสเมติคส์ จำกัด เลขที่ 189 ถ.เพชรเกษม 52/2 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
         ไม่ระบุเลขที่ผลิต แต่ระบุ วันที่ผลิตคือ 200409
          16.) คลินิกแคร์ไวท์เทนนิ่งไนท์ครีม สูตร 2ระบุผู้ผลิตคือ คลินิกแคร์เทนเดอร์
          เลขที่ 189 ถ.เพชรเกษม 52/2 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ไม่ระบุเลขที่ผลิต แต่ระบุ
          วันที่ผลิตคือ 200409

      ตรวจพบไฮโดรควิโนน ได้แก่
       
   17.) ครีมทาฝ้า-กระ
          18.) สมุนไพรสุภัชชา (2) ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ไม่ระบุผู้ผลิต /ผู้จำหน่าย เลขที่ผลิต
          และวันที่ผลิต
         
      ตรวจพบกรดเรทิโนอิก ได้แก่
     
     19.) BASCHI WHITENING CREAM NIGHT CREAM
          20.) BASCHI NIGHT POWDER
          21.) YANKO Whitening Cream Night Cream YK-883 โดยทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ไม่ระบุ
          ผู้ผลิต / ผู้จำหน่าย เลขที่ผลิตและวันที่ผลิต
       
        ตรวจพบไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก ได้แก่
       
   22.) S.S.Night Cream ครีมก่อนนอน (2)
          23.) FADE OUT ครีมขาวหน้าใส Kiev/Beauty Face USA Original
          24.) WL WHITE LADY ครีมรักษาฝ้า ทาหน้าขาว
          25.) Pharmacy Cream ครีมขาวเนียน ซึ่งทั้ง 4 ผลิตภัณฑ์ไม่ระบุผู้ผลิต / ผู้จำหน่าย
          เลขที่ผลิตและวันที่ผลิต
       
      ตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์ คลอสตริเดียม (Clostridium spp.) ที่ก่อให้เกิดโรค และพบแบคทีเรีย ยีสต์ รวมทั้งรา ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ได้แก่
       
26.) ร้อยมาลี AROMATHREPY(Roi Malee (สเปรย์เซรั่ม)) โดยไม่ระบุผู้ผลิต /
         ผู้จำหน่าย เลขที่ผลิตและวันที่ผลิต
       
        การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกิจการทาง ศาสนา และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอาง  เป็นสิ่งสำคัญต้องใช้ให้ถูกต้อง สม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรประจำวัน  ชาวอาหรับก็ได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่น เพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย  ชาวฝรั่งเศส ได้แยกศิลปะการใช้เครื่องสำอางออกมาจากกิจการด้านการแพทย์อย่างชัดเจน การผลิตเครื่องสำอางในช่วงแรก ๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมาหรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก ต่อมาได้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เข้ามาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอาง

                              
                                                 ภาพที่  2  เครื่องสำอาง
                                            ( ที่มา http://image.dek-d.com/21/2070601/101407203)


       โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเคมี ได้มีส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มี คุณภาพสูง ในการผลิตแต่ละครั้งต้องมีส่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑ์อย่างเดียวกัน มีหลักการเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานในการผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากการที่ปัจจุบันมีการนำสารเคมีหลายชนิดมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่อง สำอาง เพื่อให้ได้ผลทางการค้า แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง อัตราส่วนไม่เหมาะสมก็อาจทำให้เกิดอันตรายชนิดถึงชีวิตได้ค่ะ 


         **   มาศึกษารายละเอียดของสารเคมีที่ตรวจพบในเครื่องสำอางกันนะคะ   **


เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์    ทุกระดับชั้น  และผู้สนใจทั่วไป

เรื่อง   สารเคมีในเครื่องสำอาง

          สารปรอท   
          ปรอท ( Mercury) เป็นโลหะหนักสามารถหาปรอทได้จากหินที่ขุดพบในเหมือง โดย
การนำหินนั้นนั้นมาทำให้ร้อนด้วยอุณหภูมิ 357 องศาเซลเซียส ปรอทเป็นสารที่มีความหนาแน่นสูง ถึงขั้นที่ก้อนตะกั่วหรือเหล็กสามารถลอยอยู่ได้ ถึึงแม้ปรอทจะมีลักษณะคล้ายตะกั่วและเป็นของเหลว แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าตะกั่ว (มวลอะตอม 200.59) และถึงแม้ปรอทจะเป็นโลหะ แต่ก็ไม่ดึงดูดกับแม่เหล็ก เราสามารถนำปรอทมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิและความดัน การย้อมสี การผลิตเยื่อกระดาษ พลาสติก
เภสัชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการถ่ายรูป อุปกรณ์ไฟฟ้า สารฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อ. นอกจากนี้ เนื่องจากว่าปรอทมีจุดเดือดไม่สูงนัก จึงได้มีการทดลองนำ เมอคิวริคออกไซด์ มาผลิดเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์อีกด้วย  ปรอทมักจะใช้ในการผลิตเคมีทาง อุตสาหกรรม หรือในการประยุกต์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรอทใช้ในเทอร์มอมิเตอร์บางชนิด โดยเฉพาะที่ใช้วัดอุณหภูมิสูง
        การใช้สารประกอบของปรอทที่สำคัญสองชนิด ชนิดแรกคือ 3% mercuric iodine และชนิดที่สอง 10% ammoniated mercury ทั้งสองชนิดเป็นสารปรอทชนิดอนินทรีย์ ซึ่งเมื่อรวมตัวกับ iodide หรือ chloride เกลือที่เกิดขึ้นจะถูกดูดซึมทางผิวหนังอย่างรวดเร็วและในปริมาณที่เป็นพิษ ได้ ในกรณีที่สารปรอทกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสาร methyl mercury สารนี้มีความเป็นพิษสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษต่อระบบประสาทและพิษต่อไต ในบางรายเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง บางรายเกิดปัญหาสิวเห่อ ผิวหนังยุบเป็นร่องรอยบนผิวหนัง ผิวด่าง-ดำ

                            
                                                ภาพที่  3  ปรอท
                              (ที่มา  http://www.amulet.in.th/forums/images/1905.jpg)

          ไฮโดรควิโนน   
          ไฮโดรควิโนน เป็นสารฟีนอลชนิดหนึ่ง เรียกชื่อทางเคมีว่า benzene-1,4-diol เป็น
อนินทรียสารที่มีสูตรเคมี C6H4(OH)2 ลักษณะโครงสร้างทางเคมีเป็น hydroxyl groups สองกลุ่มเชื่อมต่อกับ benzene ring ลักษณะการเชื่อมต่อเป็นแบบ para สถานะของไฮโดรควิโนนที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศไฮโดรควิโนนจัดเป็น ของแข็งสีขาวเนื้อละเอียด
ไฮโดรควิโนน ทำปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่นเกิดเป็นสารพาราเบนโซควิโนน parabenzoquinone หรือที่เรียกว่า p-quinone
        ไฮโดรควิโนนถูกนำมาใช้เป็น สารช่วยลดปริมาณของเม็ดสีในชั้นผิวหนัง แต่ในบางประเทศก็ไม่อนุมัติให้วางจำหน่าย เช่น ฝรั่งเศส  เนื่องจากอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ บางประเทศอนุมัติให้วางจำหน่ายได้เฉพาะรูปแบบ 2% cream ในบางผลิตภัณฑ์ความเข้มข้นของไฮโดรควิโนนอาจมากถึง 4% ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การนำไฮโดรควิโนนมาผสมอย่างไม่ถูกต้อง โดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าปริมาณความเข้มข้นมากน้อยเพียงใด และบางรายอาจใช้วัตถุดิบปลอมในการผลิตอีกด้วย 
          1. สารไฮโดรควิโนนมีคุณสมบัติในการฟอกสีผิว เป็นสารที่เคยอนุญาตให้ใช้ในครีมแก้ฝ้า แต่ภายหลังพบว่า สารไฮโดรควิโนนทำให้เกิดการระคายเคือง
          และจุดด่างขาวที่หน้าผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย
          2. สารไฮโดรควิโนนมีความเป็นพิษ โดยมีค่า LD50 orally in rats เท่ากับ 320 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม
          3. พบว่ามีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และก่อมะเร็งในหนูทดลอง
          4. สามารถใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในสูตรตำรับยาชนิดครีม ที่ระดับความเข้มข้น 2-4%
          5. สารไฮโดรควิโนนถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535

                          

                                                                             ภาพที่  4  เครื่องสำอาง 
                              (ที่มา  http://www.anattara.com/images/cosmetics300.jpg )

         
         กรดเรทิโนอิก
         กรดเรทิโนอิก หรือกรดวิตามินเอ (retinoic acid)  ในร่างกายพบว่ามีโมเลกุลของวิตามินเอ 3 ชนิดด้วยกัน คือ retinol, retinal (retinaldehyde) และ retinoic acid ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากสาร beta-carotene ซึ่งประกอบไปด้วยโมเลกุลของ retinal สองโมเลกุลเชื่อมต่อกันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า provitamin A ปัญหาของการใช้สารกรดวิตามินเอ อยู่ที่ความเข้มข้นของสารและปริมาณที่ได้รับ แม้ว่าการดูดซึมผ่านทางผิวหนังจะไม่มากเหมือน  การดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร แต่ในบางรายทางการแพทย์ พบว่าผู้ป่วยมีผลขเางเคียงจากฤทธิ์ของยาได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พบความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนชนิด retinol to aporetinol binding protein (RBP) หรือ ความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้าง cellular retinol binding protein (CRBP)
     
          1. กรดเรทิโนอิกเป็นสารที่ช่วยให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังและหลุดลอกได้ จึงช่วยให้สิวเสี้ยน และผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดลอกออกง่าย
          ขึ้นทำให้ผิวผ่องใส และนุ่มเนียน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับสารไฮโดรควิโนน จะช่วยให้สารไฮโดรควิโนนซึมเข้าสู่ผิวหนัง และออกฤทธิ์ได้มากกว่าปกติ
          2. ความเป็นพิษคือทำให้หน้าแดง และแสบร้อนรุนแรง เกิดการระคายเคืองอักเสบ แพ้แสงแดด หรือแสงไฟได้ง่าย
          3. เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ และก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิด
          4. พบว่ามีค่า LD50 orally in rats เท่ากับ 2,000 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม
          5. กรดเรทิโนอิกถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 และเป็นสารห้ามใช้ลำดับที่ 375 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
          เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551
          6. กรดเรทิโนอิกสามารถใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในสูตรตำรับยาชนิดครีมที่ระดับความเข้มข้น 0.01-0.1%

ของแถมค่ะ         
         ส่วนจุลินทรีย์ คลอสตริเดียม Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรียที่สร้างสปอร์และเจริญได้ในสภาวะไม่มีออกซิเจน (Anaerobic Bacteria) มีรูปร่างเป็นท่อน  ติดสีแกรมบวก   สร้างสปอร์รูปไข่อยู่ค่อนทางปลายเซลล์  เจริญได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ  25-40  องศาเซลเซียสในสภาวะไม่มีออกซิเจน เป็นแบคทีเรียที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรม อาหารกระป๋องชนิดที่มีความเป็นกรดต่ำ  เช่น อาหารหมักดองกระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง และไส้กรอก เป็นต้น  เชื้อสามารถสร้างสารพิษที่มีผลต่อการทำลายระบบประสาท(neurotoxin) หากบริโภคอาหารที่มี สารพิษชนิดนี้ปนเปื้อนเพียง 1 ไมโครกรัม จะทำให้เกิดอาการป่วยที่เรียกว่า "botulism” ซึ่งมีลักษณะอาการ คือ  อาการกลืนลำบาก และพูดไม่ชัด อาการปากแห้ง  หนังตาตก เสียงแหบ แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เจ็บคอ เห็นภาพซ้อน ปวดท้อง และอุจจาระร่วง หน้ามืด เป็นอัมพาต หายใจขัด และ   เสียชีวิตเนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว อาการจะเกิดภายใน 12-36 ชั่วโมง หลัง
การบริโภคอาหาร และอาจเสียชีวิตภายใน 3-6 วัน  

การทดสอบสารปรอทและไฮโดรควิโนน  
        สารปรอทนิยมใช้ในเครื่องสำอางประเภทครีมหน้าขาว ผลคือทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง
ผิวหน้าดำ ผิวบางลง สำหรับวิธีการทดสอบแบบง่าย ๆคือ ผสมน้ำกับผงซักฟอกให้มีลักษณะข้นคล้าย ๆ ครีมป้ายครีมทาหน้าลงบนกระดาษทิชชูแล้วเทน้ำผงซักฟอกลงไปบนครีมทาหน้า
ทิ้งไว้ ไม่เกิน 5 นาที ถ้ามีสารปรอทอยู่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลค่ะ  ส่วนสาร ไฮโดรควิโนน
ปกติใช้ในครีมรักษาฝ้า การทดสอบเพื่อความแน่นอนควรใช้วิธี Test Kit ของกรมวิทยาศาสตร์
การแพทย์

ที่มา 
http://www.sahavicha.com
ก้าวทุกวินาทีกับ..สหวิชา.คอม



วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชุดดอกไม้ไทย ตอน ดอกมะลิ

หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ  สายหยุดมะลิลา

แย้มผกากลิ่นขจร   ข้างต้นหาได้ทุกอย่างพื้นต่างพรรณ

เห่เรือพระอภัยมีณ สุนทรภู่

       ดอกมะลิ สัญลักษณ์ดอกไม้วันแม่ เพราะความหมายของดอกมะลิ เปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูก
          ดอกไม้ ดอกเล็ก ๆ สีขาวบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมชวนดมอย่าง "ดอกมะลิ" ถูกนำมาใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ "วันแม่" เพราะดอกมะลิเปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูกน้อยไม่มีวัน เสื่อมคลาย เหมือนกับความหอมของดอกมะลิที่หอมนาน และออกดอกตลอดทั้งปี นอกจากนี้ คนไทยยังนิยมนำดอกมะลิมาร้อยมาลัยบูชาพระ ดังนั้น ดอกมะลิ จึงเปรียบเสมือนการบูชาแม่ผู้มีพระคุณของลูก ๆ ทุกคน

     ดอกมะลิ  เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่มีกลิ่นหอมเย็นใจให้ความรู้สึกสุขสงบ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Jasmine ส่วนชื่อทางภาษานักพฤกษศาสตร์ที่ใช้เรียกขานกัน คือ Jasminum sambac (L.) Ait. เป็นพืชในวงศ์  Oleaceae ส่วนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคใด ที่ไหนก็เรียกว่า ดอกมะลิ
    คนสมัยก่อน นอกจากจะนิยมปลูกดอกมะลิเอาไว้เป็นไม้ ดอกไม้ประดับ เพื่อชื่นชมกับดอกสีขาวสวยนุ่มนวลชวนมองแล้ว เขายังเก็บดอกมะลิตูมมาใส่พาน หรือถ้ามีเวลาว่างพอก็จะนำมาร้อยเป็นมาลัยกราบบูชาพระอีกด้วย  กลิ่นหอมอ่อน ๆ อบอวลของดอกมะลิที่อยู่ในห้องพระ ให้ความรู้สึกสงบใจอีกต่างหาก

          นอกจากนี้ยังนำดอกมะลิมา ลอยในน้ำดื่มเย็น ๆ ให้แขกผู้มาเยือนได้ดื่มกันอย่างชื่นอกชื่นใจ หรือจะนำดอกมะลิไปลอยในน้ำเชื่อมกินกับขนมหวานไทย ก็ทำให้มีกลิ่นหอมชวนทาน แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่า ดอกมะลิที่นำมาใช้ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง

สรรพคุณ :
  • ใบ, ราก -  ทำยาหยอดตา
  • ดอกแก่ - เข้ายาหอม แก้หืด บำรุงหัวใจ
  • ราก - ฝนรับประทาน แก้ร้อนใน, เสียดท้อง รักษาหลอดลมอักเสบ ขับประจำเดือน
  • ใบ - ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำมะพร้าวใหม่ๆ นำไปลนไฟ ทารักษาแผล ฝีพุพอง แก้ไข้ ขับน้ำนม
วิธีใช้ : ใช้ดอกแห้ง 1.5 - 3 กรัม ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนดื่ม สารเคมี :
  • ดอก  พบ benzyl alcohol, benzyl alcohol ester, jasmone, linalool, linalol ester
  • ใบ  พบ  jasminin sambacin


    Everything Mom
     
    How did you find the energy, Mom
    To do all the things you did,
    To be teacher, nurse and counselor
    To me, when I was a kid.
     
    How did you do it all, Mom,
    Be a chauffeur, cook and friend,
    Yet find time to be a playmate,
    I just can’t comprehend.
     
    I see now it was love, Mom
    That made you come whenever I'd call,
    Your inexhaustible love, Mom
    And I thank you for it all.
     
    By Joanna Fuchs

 ขอบคุณทุกความรู้จาก

กระปุก.คอม

http://www.rspg.or.th/index_sub.htm

ท่าน สุนทรภู่

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชุดดอกไม้ไทย ตอน ดอกโมก

ดอกโมก

     โมกมีปรากฎเป็นวรรณกรรมในเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ใน

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ว่า

นางนวลจับต้นอินทนิล

นกกระทาจับกระถินขันก้อง

เค้าโมงจับโมกเมียงมอง

แก้วจับเกดร้องริมทาง

        คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความ บริสุทธิ์เพราะโมกหรือโมกขหมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้น พุทธรักษาดังนั้นเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภาย นอกได้เช่นกัน และยังเชื่ออีกว่าส่วนของเปลือกต้นโมกสามารถใช้ป้องกันอิทธิฤทธิ์ของพิษ สัตว์ต่างๆ ได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควร    ปลูกต้นโมกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์

นอกจากนี้ โมกยังมีสรรพคุณทางยาเช่นกัน ดังนี้
      ราก ใช้รักษาโรคผิวหนัง เรื้อน คุดทะราด แก้พิษสัตว์กัดต่อย

      ใบ ใช้ขับน้ำเหลือง

     ดอก เป็นยาระบาย

     เปลือก เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร รักษาโรคไต

      ยางจากต้น ช่วยรักษาโรคบิด
 

น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกโมก  กระตุ้นอารมณ์ให้หายซึมเศร้า เพิ่มความสดชื่น 

ขอบคุณ

kapook.com

วิกิพีเดีย

ขอบคุณรูปภาพจาก

Na Kmit'L