วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงรบกับญี่ปุ่น

 
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทย แม้แต่สิ่งของเครื่องใช้ ตลอดจนช้างพาหนะของพระองค์ก็เป็นที่รู้จักของคนไทยมากกว่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยอย่างนับไม่ถ้วน
  เริ่มจากพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ซึ่งเป็นปืนนกสับยาว ๔ คืบ (ประมาณ 235 เซ็นติเมตร ) ปืนนกสับนี่เป็นปืนคาบชุด ( Matchlock ) ไม่ใช่ปืนคาบศิลา ( Flintntlock ) เนื่องจากปืนนกสับนี่เป็นปืนรุ่นก่อนปืนคาบศิลาร่วม ๒๐๐ ปีเลยที่เดียว
 นอกจากนี้ยังมี พระแสงดาบคาบค่าย,พระมาลาเบี่ยง,พระแสงของ้าว,เจ้าพระยาแสนพลพ่าย,พระคชาธารเจ้าพระยาปราบหงสาวดี ที่เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ทั้งจากหนังสือและภาพยนต์
  แต่เรื่องที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ทั้งในหนังสือและในภาพยนต์ คือเรื่องที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงเสนอต่อจักรพรรดิเสินจงแห่งราชวงค์หมิง เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ (ปีเดียวกันที่พระองค์ทรงฟันพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์ในการกระทำยุทธหตัถี ) ว่าพระองค์จะทรงนำทัพเรือของกรุงศรีอยุธยาไปโจมตีเกาะญี่ปุ่นเพื่อช่วยจีนทำศึกกับทางญี่ปุ่นในขณะนั้น  หลักฐานทางประวัติศาสตร์นี่ถูกจารึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนและเกาหลี ซึงคุณประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี
ได้ค้นคว้ามานำเสนอต่อเบื้องพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2533 เนื่องในโอกาสการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง ความสำคัญของรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในประวัติศาสตร์ไทย   
  เรื่อง เริ่มต้นใน พ.ศ. ๒๑๓๕ โชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ แห่งญี่ปุ่นกรีฑาทัพจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ นาย ข้ามทะเลมาโจมตีเกาหลีซึ่งเป็นรัฐบรรณาการของจีน เกาหลีได้ขอความช่วยเหลือจากจีนและจีนก็ได้ส่งกองทัพไปปราบญี่ปุ่นและสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ ญี่ปุ่นได้ถอนกองทัพกับไปเลียแผลแห่งความพ่ยแพ้อยู่ ๔ ปีและในปี พ.ศ.๒๑๓๙ โชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ก็ได้กรีฑาทัพขนานใหญ่ มาโจมตีเกาหลีอีกครั้งหนึ่งแต่สงครามครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเคยและต้องล้มเลิกทันทีเมื่อได้รับทราบข่าวการอสัญกรรมของฮิเดโตชิในปี พ.ศ. ๒๑๔๐ นั้นเอง
 โชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ
明神宗.jpg

องค์จักรพรรดิเสินจง(ว่านลี่)
  ในช่วงเวลาดังกล่าวจากเอกสารจดหมายเหตุฉับบหลวงของราชวงค์หมิงในบรรพว่าด้วย สยาม บันทึกไว้่ว่า
   เมื่อปีที่ ๖ แห่งรัชศกกว่านหลี ( ค.ศ. ๑๕๗๘ / พ.ศ.๒๑๒๑ )(สยาม)ได้จัดส่งราชฑูตมาถวายเครื่องราชบรรณาการปีที่ ๒๐ (ค.ศ. ๑๕๙๑ / พ.ศ.๒๑๓๕ )ยี่ปุ่นได้เข้าตีเกาหลีจนเมืองแตก สยามได้อาสาขอยกทัพไปลอบโจมตีญี่ปุ่นโดยตรง เพื่อมุ่งหมายกดดันญี่ปุ่นทางแนวหลัง สือซิงซึงเป็นเสนาบดีในส่วนกลางเห็นด้วย แต่ เซียวเอี้ยน ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารกวางตุ้งกว่างซี คัดค้าน เรื่องจึงยุติเพียงเท่านี้
  และยังมีจดหมายเหตุอีกหลายฉบับได้กล่าวถึงเรื่องสยามอาสาไปรบญี่ปุ่นได้ปรากฎรายละเอียดในจดหมายเหตุประจำรัชกาลจักรพรรดิเสินจงแห่งราชวงค์หมิง บรรพ ๒๕๓ และ ๒๕๖ ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีความแม่นยำสูงแต่ว่าข้อความบางส่วนได้ขาดหายไป จดหมายเหตุดังกล่าวบันทึกไว้ดังนี้
   เมื่ิอวันที่ ๑๓ เดือน ๑๐ ปีที่ ๒๐ (ค.ศ. ๑๕๙๒ / พ.ศ. ๒๑๓๕ ) แห่งรัชศกว่านหลี ราชฑูลแห่งประเทศสยามจำนวน ๒๗ นาย ได้เดินทางไปนครหลวงเพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานหมวกและสายคาดเอวตามธรรมเนียม
   เมื่อวันที่ ๖ เดือนอ้าย ปีที่ ๒๑  (ค.ศ. ๑๕๙๓ / พ.ศ. ๒๑๓๖ )แห่งรัชศกว่านหลี เซียนเอี้ยน ผู้ตรวจราชการซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารประจำมณฑลกวางตุ้งกว่างซี ได้กราบบังคมทูลว่า สยามตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกไกลโพ้นห่างญี่ปุ่นหมื่นลี้เศษ เมื่อไม่นานมานี้มีฑูลบรรณาการมาขออาสาต่อทางกลาโหมขอนำกองทัพช่วยทำศึกสงคราม ทางกลาโหมมีคำสั่งตอบรับโดยให้ส่งกองทัพไปโจมตีญี่ปุ่นได้โดยตรง แต่เมื่อพิจารณาถึงเส้นทางทะเลอันไกลโพ้นเหลือประมาณเช่นนี้ คนอี๋(หมายถึง คนสยาม ) ยากจะหยั่งรู้ได้ จึงได้ขอให้ทางกลาโหมระงับคำสั่งเพื่อพิจารณาแล้วแจ้งผลมาด้วย อย่างไรก็ดีโจรพวกนี้ทั้งปล้นสะดมชั่วช้าสามานย์และเจ้าเลห์ ได้กระทำการข่มเหงรังแกประเทศอื่นๆ ขณะนี้ก็เข้ายึดเอาเกาหลี อีกโดยมุ่งหมายจะรุกรานแผ่นดินจีน จึงทำให้ต้องยกทัพหลวงไปช่วยเหลือ อันฑูลบรรณาการสยามมีความโกรธแค้นต่อการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมนี้จึงได้แสดงความจงรักภักดีโดยอาสายกทัพไปช่วยรบ และแสดงถึงเมตตาธรรมอันมีต่อเพื่อนบ้าน ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงขออาสาไปประเทศนั้น ทั้งนี้ในทางหนึ่งจะเป็นการเสริมสร้างกำลังใจแก่ประเทศที่อยู่ห่างไกล และในอีกทางหนึ่งก็จะสร้างแรงกดดันแก่เหล่าโจรเตี้ยเพราะการทำศึกสงครามหลายด้านย่อยมีการพลาดพลั้งอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้น อันความยิ่งใหญ่ของประเทศจีนจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องพึ่งพาอาศัยประเทศอื่น ดังนั้น
  องค์จักรพรรดิเสินจงจึงทรงมีพระบรมราชโองการให้ชมเชยความจงรักภักดีและเมตตาธรรมเช่นนี้ แต่เรื่องนี้มีความสำคัญมาก จึงขอให้รอฟังผลการพิจารราของผู้บัญชาการทหารก่อน เมื่อได้รับหนังสือแจ้งแล้ว จึงจะสามารถประกาศ.....แสดงให้เห็นชัดแจ้ง ขณะนั้นผู้บัญชาการทหารได้ปกครองดินแดนกันดารเหล่านั้นอยู่เรื่องของประเทศทางทะเลจึงย่ิยจะทราบดี สมควรจะให้พิจารณา....ขอให้ทางกลาโหมจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปและกระทำตามคำสั่งเมื่อถึงประเทศนั้นแล้ว ขอให้กำชับ...ส่งคำสั่ง  สมควรให้กษัตริย์แห่งสยามปฎิบัติตามพระราชโองการ กระทำการปรับปรุงตระเตรียมทัพเรือแล้วถวายสาสน์กราบบังคมทูลตอบและรับคำสั่ง...ถึงกำหนดให้ปฎิบัติตามที่ขอพระบรมราชานุญาตให้ปฎิบัติได้

   ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยในสมัยนั้นมีลักษณะความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ก็เป็นระบบรัฐบรรณาการซึ่งบางครั้งก็ใกล้ชิด บางครั้งก็ห่างเหินกันบ้างตามแต่เหตุการณ์และเงื่อนไขของแต่ล่ะยุคสมัย นอกนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนพลเมืองของทั้งสองประเทศซึ่งมีมาแต่โบราณเช่นกัน
   เอกสารโบราณของจีนมีหลายรูปแบบ โดยทั่งไปแบ่งออกเป็น ๑๕ ประเภทด้วยกัน แต่ที่คุณประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธีได้นำอ้างอิงเสนอต่อเบื้องพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ครั้งนั้นมี ๓ประเภทคืิอ
          ๑.เจิ้งสื่อ เป็นจดหมายเหตุฉบับหลวงประจำราชวงค์ เป็นเอกสารที่ยึดถือกันเป็นประเพรีที่ราชสำนักจีนทุกราชวงค์มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องให้จักรพรรดิมีพระบรมราชโองการให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตรวบรวมและเรียบเรียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับราชวงค์ที่เพิ่งจะหมดอำนาจไป
          ๒.สือลู่ เป็นจดหมายเหตุประจำรัชกาล จักรพรรดิมีพระบรมราชโองการให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตรวบรวมและเรียบเรียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับรัชกาลที่เพิ่งจะสิ้นสุดลง เอกสารประเภทนี้จะมีรายละเอียดมาก บันทึกแบบเรียบเรียงลำดับวัน /เดือน / ปี ไปเลย
         ๓.เอกสารของภาคเอกชน มีหลายรูปแบบ








 
ภาคผนวก
 จีน - ไทย จับมือทางทหารมาแต่สมัยอยุธยา
      ในด้านประวัติศาสตร์พันธมิตรทางการทหารจีน - ไทย ยังมีมาอย่างยาวนาน โดยแบ่งเป็นช่วงยุคสมัย ดังนี้
    
       1. สมัยวั่นลี่ที่ 6 (ค.ศ. 1573 - 1620/พ.ศ. 2116-2163) ในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644/พ.ศ.1911-2187) มีโจรสลัดจีนชื่อว่า หลิน เต้าเฉียง มาที่เมืองปัตตานี แต่ถูกสยามปราบ จึงกลับไปปล้นสดมภ์ที่มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ในขณะนั้นสยามอาสาช่วยจีนปราบโจรสลัด
    
       2. ยุคสมเด็จพระมหาธรรมราชา (ค.ศ. 1583/พ.ศ. 2126) พม่ายกทัพรุกรานเมืองจีนหลายครั้ง จนล่วงมาถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ค.ศ. 1591/พ.ศ. 2134 ตรงกับสมัยวั่นลี่ที่ 19 ของจีน) สยามอาสาร่วมมือกับจีนตีพม่า ทว่า ต่อมากลับไม่มีความคืบหน้าในการร่วมมือใดๆ
    
       3. ยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ค.ศ. 1593/พ.ศ. 2136) สยามมีความสามารถในการเดินเรือเป็นอย่างมาก ขณะนั้นญี่ปุ่นเข้าตีเกาหลี สยามจึงแสดงความจำนงแก่จีน จะส่งกำลังโจมตีญี่ปุ่น แต่ฝ่ายเสนาบดีของจีน มณฑลก่วงตง (ในขณะนั้นเป็นเมืองที่ดูแลประเทศแถบเอเชียอาคเนย์) ไม่เห็นด้วย เนื่องจากไม่มั่นใจในสมรรถนะการรบของสยามที่จะต้องไปรบกับญี่ปุ่นซึ่งระยะ ทางไกลมาก (อ้างอิงจาก เอกสารเกาหลี)
    
       4. สมัยนายกรัฐมนตรี พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในปีค.ศ. 1975/พ.ศ. 2518 กองทัพคอมมิวนิสต์ของกัมพูชาและเวียดนามรบชนะสหรัฐอเมริกา ท่านคึกฤทธิ์เกรงว่าไทยจะมีปัญหาตามมา กอปรทั้งในยุคนั้นจีนมีอำนาจเหนือกัมพูชาและเวียดนาม ท่านจึงขอเปิดความสัมพันธ์กับจีนเมื่อวันที่ 1 ก.ค.


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
 คุณ โกวิท วงค์สุรวัฒน์
 นิตยสาร ต่วยตูน พิเศษ

บุคคลต้นเรื่อง
 คุณประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี


อ.ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน

File:Buddha Loetla Nabhalai portrait.jpg 
   กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน เป็นกาพย์เห่เรือที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับอาหารคาวหวานในวัง โดยใช้การบรรยายเนื้อหาเยี่ยงนิราศ คือการรำพึงรำพันถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี โดยนำเอาชื่ออาหาร ลักษณะ ส่วนประกอบ หรือความสัมพันธ์มาเชื่อมโยงเข้ากับการรำพึงรำพันนั้น นอกจากนี้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ยังเป็นวรรณคดีที่มุ่งเน้นความงดงามไพเราะของวรรณคดีเหนือสิ่งอื่นใด มีการใช้โวหารและภาษาที่สละสลวย ตลอดจนการอุปมาเพื่อสื่อถึงรสชาติและฝีมือในการปรุงอาหารของนางอันเป็นที่ รัก และการนำชื่ออาหารซึ่งสื่อถึงความในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัยในความสุขจากการใกล้ชิดหรือโศกเศร้าจากการพรากจากนางอันเป็นที่ รักได้อย่างกลมกลืน ชื่ออาหารหลายชนิดในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เป็นอาหารโบราณที่หารับประทานได้ยาก เนื่องจากมีวิธีการปรุงที่ยาก และต้องใช้ความประณีตในการทำเป็นอย่างมาก เช่นหรุ่ม ล่าเตียง เป็นต้น ซึ่งจากวรรณคดีเรื่องนี้ก็ทำให้มีผู้นำอาหารโบราณหลายชนิดมารื้อฟื้นฝึกปรุง ใหม่กันอีกด้วย
 
 
• เห่ชมเครื่องคาว

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ                 นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                      เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                 พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน             อกให้หวนแสวง ๚ 

๏ มัสมั่นแกงแก้วตา              หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง                แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด               วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา                     ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม        เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน                     ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส         พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น             วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย             ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง              เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน               ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า        ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม      ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ         รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น                เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม               แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ           ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด              ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม              สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง         นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า       รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์                ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด                  โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง               เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า              ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ           ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง       เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน             ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

• เห่ชมผลไม้

๏ ผลชิดแช่อิ่มโอ้                    เอมใจ
หอมชื่นกลืนหวานใน               อกชู้
รื่นรื่นรสรมย์ใด                       ฤๅดุจ นี้แม
หวานเลิศเหลือรู้รู้                    แต่เนื้อนงพาล ๚

๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ                   หอมตรลบล้ำเหลือหวาน
รสไหนไม่เปรียบปาน              หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ
๏ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง         รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย                หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
๏ ผลจากเจ้าลอยแก้ว             บอกความแล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น              เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง
๏ หมากปรางนางปอกแล้ว      ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง                  ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
๏ หวนห่วงม่วงหมอนทอง        อีกอกร่องรสโอชา
คิดความยามนิทรา                 อุราแนบแอบอกอร
๏ ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น                    เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน                 ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน
๏ พลับจีนจักด้วยมีด               ทำประณีตน้ำตาลกวน
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน               ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ
๏ น้อยหน่านำเมล็ดออก          ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย
มือใครไหนจักทัน                   เทียบเทียมที่ฝีมือนาง
๏ ผลเกดพิเศษสด                  โอชารสล้ำเลิศปาง
คำนึงถึงเอวบาง                      สางเกศเส้นขนเม่นสอย
๏ ทับทิมพริ้มตาตรู                 ใส่จานดูดุจเม็ดพลอย
สุกแสงแดงจักย้อย                   อย่างแหวนก้อยแก้วตาชาย
๏ ทุเรียนเจียนตองปู                เนื้อดีดูเหลือเรืองพราย
เหมือนศรีฉวีกาย                    สายสวาทพี่ที่คู่คิด
๏ ลางสาดแสวงเนื้อหอม          ผลงอมงอมรสหวานสนิท
กลืนพลางทางเพ่งพิศ              คิดยามสารทยาตรามา
๏ ผลเงาะไม่งามแงะ               มล่อนเมล็ดและเหลือปัญญา
หวนเห็นเช่นรจนา                   จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม
๏ สละสำแลงผล                      คิดลำต้นแน่นหนาหนาม
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม                   นามสละมละเมตตา ๚

• เห่ชมเครื่องหวาน

๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น                 เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี                โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที                         สมรแม่ มาแม
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม            เพียบแอ้อกอร ๚

๏ สังขยาหน้าตั้งไข่                  ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง             แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ                แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ                      ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                   โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร               น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ               ขนมนามนี้ยังแคลง
๏ ลุดตี่นี้น่าชม                          แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง                       แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ                   งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย                     ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๏ รสรักยักลำนำ                         ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน                      เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด           สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม                       ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน                  เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล                     เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง                    เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง                         ยังยินดีด้วยมีรัง
๏ ทองหยอดทอดสนิท                ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง                         แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ                    ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง                       สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม                  คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล                    สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส                  หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม                            หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย                เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์             เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚


 http://0thaidessert444444.files.wordpress.com/2012/09/khanomthai021.jpg

ขอขอบคุณ
ช้อมูลจากหนังสือ : ประชุมกาพย์เห่เรือ กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
วิกิพีเดีย กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์